Lifestyle

เหตุผลที่เราควรฝึกมองโลกในแง่ดี

ฝึกมองโลกในแง่ดี

มองโลกในแง่ดี คือ ทัศนคติที่มีต่อสิ่งหรือเหตุการณ์ต่างๆในทางบวก ด้วยความเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่บนพื้นฐานในแง่บวก หรือหวังว่าผลที่จะออกมานั้นเป็นไปในทางดีหรือตามที่คาดหวังและต้องการ 

มองโลกในแง่ดีภาษาอังกฤษ คือคำว่า “Optimism” ซึ่งมาจากรากศัพท์ละตินว่า “Optimum” ที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Best” แปลว่า “ดีที่สุด” ให้ความหมายที่เป็นไปในทางแง่ดี ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นไปในทางที่ดี หรือผลลัพท์ที่ได้จะดีที่สุดตามแต่สถานการณ์ 

ทัศนคติมองโลกในแง่ดี จะช่วยเสริมสร้างให้เรารู้จักการมองสิ่งรอบตัวไปในทิศทางที่ดี หรืออาจมองเห็นสิ่งดีๆในขณะที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายได้ ซึ่งแม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์-เชอร์ชิล (Winston Leonard Spencer-Churchill) และยังเป็นนักเขียน ได้เคยกล่าวไว้ว่า “คนมองโลกในแง่ร้ายเห็นอุปสรรคในทุกโอกาส แต่คนมองโลกในแง่ดี เห็นโอกาสในทุกอุปสรรค”

นั่นเป็นเพราะว่า การมองโลกในแง่ร้าย จะมองเห็นทุกอย่างเลวร้ายไปหมด และมัวแต่จมปลักกับการโทษทุกสิ่ง จนไม่ได้พยายามที่จะตั้งสติ ที่จะคิดและมุ่งหวังในการหามุมมองหรือทางออก หรือแม้แต่ข้อดีที่อาจนำพาไปสู่หนทางที่ดีกว่า ทำให้คนที่คิดลบอยู่เสมอ มักจะหาทางแก้ไขที่ดีได้ค่อนข้างช้า หรือแม้แต่การพลาดโอกาสดีๆที่แม้แต่เขาเองอาจคาดไม่ถึง 

ลักษณะคนคิดบวก

  • มองไปข้างหน้าเสมอ แม้จะเจอปัญหาหรือมีอุปสรรคใดๆ
  • มองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ สามารถมองหาโอกาสได้แม้ในยามวิกฤติ 
  • เชื่อมั่นในตนเอง หรือสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง ว่าจะต้องทำได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  
  • ลองลงมือทำก่อนจะพูดว่าทำไม่ได้
  • ชื่นชมสิ่งดีๆแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย 
  • โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองควรทำ มากกว่าโฟกัสในสิ่งที่คนอื่นทำ
  • มองเห็นและมองหาด้านดีของผู้อื่น 
  • รู้จักยอมรับและปล่อยวาง 
  • รู้จักขอโทษและขอบคุณ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
  • คนมองโลกในแง่บวกจะนิ่งได้ รอได้ ช้าได้ ทนได้  
  • เมื่อเผลอเกิดอารมณ์ไม่ดี จะตั้งสติหยุดได้เร็ว และนิ่งลงได้เร็วกว่าคนอื่น

ลักษณะคนคิดลบ

  • มองทุกสิ่งเป็นเรื่องเลวร้าย และโทษแต่โชคชะตา 
  • คิดในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือผลที่จะตามมาในทางลบไว้ก่อน
  • คิดวนเวียนถึงแต่ความล้มเหลว จมปลักแต่อดีต จนไม่สามารถมองเห็นทางแก้ไข หรือแม้แต่การพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้เลย 
  • คนที่มองโลกในแง่ร้ายโทษแต่สิ่งรอบตัว และคนรอบข้างเสมอ 
  • ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง จะมองตัวเองว่าไม่มีความสามารถ และเชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ 
  • พูดว่า “ไม่” ในทุกเรื่องๆ เช่น ทำไม่ได้ ,ไม่สำเร็จ ,ไม่มีทาง ,ไม่ทัน ,ไม่ได้ ,ไม่ดี , ไม่ได้เรื่อง , ไม่มีทางออก ฯลฯ
  • มองเห็นแต่ปัญหา อุปสรรค และความผิดพลาด
  • โทษผู้อื่นก่อนเสมอ โวยวายใส่ผู้อื่นก่อนที่จะคุยหรือถามถึงเหตุผล
  • จับผิดผู้อื่น เห็นแต่ข้อเสียของผู้อื่น แต่ไม่เคยเห็นความผิดหรือข้อเสียของตนเอง 
  • รู้สึกเสียหน้าหากจะต้องขอโทษใครก่อน หรือกระดากแม้แต่จะเอ่ยคำว่า ขอบคุณ 

คนที่มองโลกในแง่ดี จะมองเห็นหรือพยายามมองหาข้อดีในตัวบุคคลอื่น โดยไม่มองแต่ด้านลบด้านเดียว แล้วทำไมเราควรมองด้านดีๆของคนอื่นน่ะหรือ? หากมองโลกให้เป็นก็จะสามารถเข้าใจได้ว่า ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ 100% “Nobody perfect” แม้แต่ตัวเราเอง และถ้าหากเราพยายามองหาด้านดีในตัวบุคคล เราอาจจะรู้จักคนๆนั้นมากขึ้น หรือสามารถนำด้านดีของคนนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งอาจเป็นไปในเรื่องของงาน หรือทางสังคม เช่น หัวหน้างานรู้ว่ามีลูกทีมที่มีนิสัยเกียจคร้าน แต่เขามีวาทะศิลป์ดีในการพูดหว่านล้อม ก็ให้เขาได้ใช้ตรงนั้นในการเจรจากับลูกค้า เพื่อนร่วมงานที่ชอบออกคำสั่ง แต่มองเห็นว่าเขาทำงานเก่ง ก็จะยังคงทำงานร่วมกันได้โดยไม่เกิดปัญหา หรือแม้แต่นักโทษที่อาจตกเป็นจำเลยของสังคม แต่เขาคนนั้นมีจิตใจรักสัตว์ ก็ให้ทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสัตว์ เป็นต้น

อีกความแตกต่างระหว่างคนคิดบวกกับคนคิดลบ ตัวอย่าง คนคิดบวกเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ดี จะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ปกติทั่วไป ไม่หลงระเริง แต่ถ้าเป็นคนคิดลบ จะคิดว่าเหตุการณ์ดีๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับตน ทำให้หลงมัวเมาอยู่แต่กับสิ่งนั้น และเมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็ทำให้เกิดความเศร้าโศกมาก เพราะความยึดติดในสิ่งนั้น แต่ถ้าเป็นกรณีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นกับคนคิดบวก พวกเขาจะมองว่ามันเกิดขึ้นได้เดี๋ยวมันก็ผ่านไป และหาหนทางดับทุกข์เหล่านั้นได้ แต่กลับกัน หากเป็นคนคิดลบ จะหลงคิดแต่ว่ามันเป็นสิ่งเลวร้ายถาวร ที่ไม่มีทางจะจบลงได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้ง่ายๆนั่นเอง

ทฤษฎีการมองโลกในแง่ดีของ โกลแมน (Goleman) ชี้แจงว่า มีความเกี่ยวข้องและเป็นองค์ประกอบของสติปัญญาทางอารมณ์ (emotional intelligence) เพราะการมองโลกในแง่ดีจะมีแรงจูงใจ ในการคิดว่าทุกสิ่งไม่ได้มีแต่สิ่งเลวร้าย ทำให้มีพลังที่จะสามารถพลิกหาโอกาสได้ ซึ่งจะตรงข้ามกับผู้ที่คิดลบอย่างสิ้นเชิง 

เช่นเดียวกับ บาร์ออน (Bar-On) ที่มองว่าทฤษฎีการมองโลกในแง่บวก เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient) หรือ EQ ซึ่งสามารถเข้าใจในอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และสามารถควบคุมอารมณ์ ยับยั้งชั่งใจในการแสดงออกของตนได้อย่างเหมาะสม ทำให้ช่วยรับมือในการจัดการชีวิต เมื่อตกอยู่ในสภาวะที่มีแรงกดดันได้ไปในทิศทางที่ดี และเซลิกแมน (Seligman) ก็ยังให้เหตุผลทางทฤษฎีการเป็นคนคิดบวกจะเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถมีความสุขได้ง่ายแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย จึงฟื้นตัวจากเหตุการณ์เลวร้ายได้เร็วกว่าคนอื่น 

ความแตกต่างของคนคิดบวกกับโลกสวย 

หลายๆคนมักจะเข้าใจว่า คนคิดบวกคือพวกโลกสวย และมักจะมีการใช้คำว่าโลกสวยไปในทิศทางที่เป็นการประชดประชันเสียมากกว่า ซึ่งที่จริงแล้ว คนคิดบวกไม่ใช่เป็นพวกโลกสวย แต่คนคิดบวกหรือการมองโลกในแง่ดี หมายถึง การมองโลกตามความเป็นจริง มีเหตุและผลมารองรับ ในสิ่งรอบด้านอย่างชาญฉลาด และบวกด้วยความคาดหวังที่ให้ออกมาในรูปแบบที่ดี แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ก็พร้อมที่จะทำความเข้าใจและยอมรับทั้งในด้านดีและไม่ดี ซึ่งจะตรงข้ามกับคนโลกสวย…อย่างไรน่ะหรือ? เราลองมาเข้าใจคำว่าโลกสวยกันให้ชัดๆกันก่อน เพื่อหลุดพ้นจากความเข้าใจผิดเหมือนหลายๆคนที่เข้าใจผิดกันอยู่ 

“โลกสวย” คือมองโลกในแง่ดีเกินไป ซึ่งคนประเภทมองโลกในแง่ดีเกินไป ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Overly optimistic โดยเราจะยกตัวอย่างการมองโลกในแง่ดีเกินไปจนจัดว่าเข้าประเภทเป็นคนโลกสวย

มองในแง่ดีเกินไปโดยไม่อยู่ในหลักความเป็นจริง ตัดสินคนอื่นด้วยเหตุผลของตนเอง โดยอวดอ้างคุณธรรม ทั้งที่ไม่ได้รู้ถึงความเป็นจริงในสถานการณ์ เช่น การตัดสินคนในโซเซียล ดูคลิปที่มีเหตุการณ์คนจะกระโดดน้ำเพื่อฆ่าตัวตาย แล้วคนดุคลิปก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนที่ถ่ายคลิปทำไมไม่เข้าไปช่วย ไม่เข้าไปปลอบหรือห้าม ถ้าเป็นตนจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่จริงในสถานการณ์จริง คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่สามารถเข้าไปพละการได้ เพราะไม่รู้ว่าหากเข้าไปช่วย อาจยิ่งทำให้คนที่จะกระโดดน้ำยิ่งเครียดหรือกลัว และตัดสินใจกระโดดน้ำโดยช่วยไม่ทันก็ได้ และอาจมีใครที่ช่วยโทรตามเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะแล้ว 

หรือคลิปที่เกิดรถมอเตอร์ไซด์ชนคนข้ามถนน มีแต่คนโทษคนขับมอเตอร์ไซด์ ทั้งที่เขาเป็นผู้ขับมาตามทางถนนอย่างถูกต้อง ด้วยความเร็วที่ไม่ได้เกินจำกัด แต่คนข้ามถนน ข้ามในที่เขาห้าม หรือวิ่งตัดข้ามตัดหน้ากระทันหันโดยไม่ได้ดูรถที่วิ่งมา แต่กลายเป็นว่า ทุกคนตัดสินว่าคนขับมอเตอร์ไซด์เป็นผู้ผิด และลงโทษด้วยการตราหน้า ด่าทอเขาจนเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง และอาจทำให้เขาเกิดความเครียดและทำร้ายตนเองได้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้คือพวกโลกสวย ไม่ใช่คนคนคิดบวก

พวกโลกสวยแบบเห็นผิดเป็นชอบ เห็นขาวเป็นดำ คิดว่าความคิดตนถูกเสมอ แต่กลับไปกัดหรือแขวะคนคิดบวกว่าเป็นพวกโลกสวย เช่น พวกที่ชอบพูดคำหยาบ หรือชอบพูดอะไรไม่คิด แล้วบอกว่าตนเองเป็นคนตรงๆ จริงใจ ไม่เสแสร้งเหมือนพวกที่พูดดีๆ ดัดจริตใช้คำ เกรงใจคนอื่น แต่ไม่จริงใจเท่าตนที่คิดอะไรก็พูดออกไป…แต่ที่จริงแล้ว การเป็นคนจริงใจหรือเป็นคนตรงๆอย่างแท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนพูดคำหยาบ ไม่จำเป็นต้องพูดทุกสิ่งที่ตนคิด เพราะคนไม่มีมารยาท คนถ่อย ย่อมแตกต่างจากคนตรงคนจริง เพราะคนตรงๆคนจริงใจ สามารถที่จะเป็นผู้รู้จักกาลเทศะได้ มีความเกรงใจ และควรมีมารยาทที่ดีต่อผู้อื่น แต่เมื่อใครถามหรือต้องการความคิดเห็น จึงแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่จำเป็นต้องหยาบ หรือยัดเยียดความคิดของตนให้คนอื่นทำตาม เรียกว่าเป็นคนตรงที่คิดบวกและมีมารยาท

มองโลกแง่ดีโดยไม่ดูความจริงของอีกด้าน มองคนในแง่ดีไปหมด ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันผิวเผิน ไม่ตั้งอยู่ในความจริงว่าทุกคนล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อาจเห็นว่าเขาหน้าตาดี หน้าที่การงานดี แต่งตัวดี ฐานะตระกูลดี จึงคิดว่าเขาจะต้องโปรไฟล์ดีเลิศ แม้มีใครบอกใครเตือน ก็ไม่เชื่อ และคิดว่าไม่จริง เป็นไปไม่ได้ เพราะมองเขาในแง่ดีไปหมดเสียแล้ว โลกสวยจนกู่ไม่กลับ เช่น เกิดคดีข่มขืน เห็นหน้าโจรหน้าตาดีฐานะดี ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้ เพราะหน้าตาและฐานะดีขนาดนั้นๆ สาวๆต้องต่อคิวเข้าหา ไม่จำเป็นต้องไปข่มขืนใคร อย่างนี้เป็นต้น โดยอาจลืมไปว่า ไม่ว่าจะหน้าตาอย่างไร หรือเป็นใครมาจากไหน ก็สามารถทำดีหรือทำเลวได้เหมือนกันหมด 

เห็นได้ว่าคนคิดบวกและคนโลกสวยนั้นแตกต่างกันอย่างมาก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเข้าใจผิดและหลงประเด็น จึงมักโยนความหมายที่ผิดๆไปทางคนคิดบวกตามที่เรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ทำให้ใครหลายคนที่อยากจะหัดมองโลกในแง่ดี อาจไม่กล้าจะแสดงพลังบวกออกมา แต่สำหรับคนที่ฝึกจิตคิดบวกอยู่เสมอ จะกล้าก้าวข้ามและยืนหยัดความเป็นตัวตน แม้จะรู้ว่าอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่สามารถเข้าใจเขาได้ก็ตาม 

ข้อดีของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี คิดบวก

  • มีความสามารถในการจัดการปัญหา เพราะทุกคนย่อมจะต้องเจอปัญหา อุปสรรคต่างๆเข้าในชีวิตให้จัดการ ครอบครัว ความสัมพันธ์ การงาน การเงิน ฯลฯ คนที่มองโลกในแง่ดี จะไม่จมอยู่แต่กับปัญหา แต่จะพยายามมองหาทางออก และใช้ความคิดบวกว่าจะต้องเจอสิ่งดีๆ เป็นแรงผลักดัน มองหาหนทางแก้ไข จนทำให้สามารถเจอวิธีแก้ไข และหาทางออกของปัญหาได้ในที่สุด 
  • มีพลังชีวิต เพราะการคิดบวก มีคติมองโลกในแง่ดี ไม่จมอยู่แต่กับความเศร้า ทำให้ไม่นิยมสะสมความเครียด จึงมีส่วนของสมองที่จะมองเห็นและซึมซับความสุขในด้านอื่นๆได้ไม่ยาก ทำให้ชีวิตมีพลังที่จะก้าวเดินต่อไปได้เต็มที่
  • ส่งเสริมความกล้าและความภูมิใจในตนเอง เพราะคนมองโลกในแง่ดีคือคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเองได้ด้วยตนเอง และเชื่อมั่นว่าตนจะต้องทำได้ “ I can do it! ” และเมื่อลงมือทำแล้ว แต่กลับไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ก็จะยอมรับ และหาหนทางแก้ไข หรือมองหาทางอื่นที่ตนจะทำได้ดีกว่า โดยไม่จมกับการโทษตัวเอง และอยู่แต่กับความผิดพลาดนั้นจนก้าวต่อไม่ได้ 
  • สุขภาพดีกว่าที่เคย เพราะการรู้จักมองโลกในแง่ดี จะทำให้ไม่สะสมความเครียด ลดความกังวล ลดความกดดันต่างๆ ส่งผลต่อระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ทั้งการไหลเวียนของเลือด หัวใจเต้นช้าลง ลดความดันโลหิตสูง เพิ่มไขมันดี แต่ไขมันเลวลดลง 
  • ไม่เป็นคนหงุดหงิดหรือเครียดง่าย รู้จักควบคุมอารมณ์ มีเหตุผล เพราะสามารถมองทุกสิ่งตามความเป็นจริง 
  • รู้จักปล่อยวางได้ง่ายและเร็ว 
  • ดูอ่อนเยาว์ หรืออ่อนวัยกว่าคนในวัยเดียวกัน ผลมาจากที่ไม่มีความเครียดสะสม ความคิดดีๆมีผลต่อสารความสุขในร่างกาย และส่งผลต่อสมอง รวมไปถึงเซลล์ในร่างกาย ทำให้ระบบภายในดีออกมาสู่ภายนอก แลดูอ่อนกว่าวัย
  • ดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต คนคิดบวกหรือมักมองโลกในแง่ดี ก็มักจะเจอสิ่งดีๆ อันเนื่องมาจากกฏแรงดึงดูด จากวิธีมองโลกในแง่ดีหรือมุมมองของเราเอง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วคิดว่าหลายๆคนคงอยากมองโลกในแง่ดี เพราะมีแต่ผลดีกับชีวิตตนเองและคนรอบข้าง และจะได้เข้าใจว่า ที่จริงแล้วโลกใบนี้ไม่ได้เลวร้าย แต่การคิดแง่ร้ายและกระทำตามความคิดลบของคนเราต่างหาก ที่ส่งผลให้มันเลวร้ายต่อโลก ฝึกทีละนิด ไม่ต้องรีบร้อน แต่ฝึกประจำให้บ่อยๆ จนเคยชินเป็นนิสัย แล้วคุณก็จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เป็นคนคิดบวก ไม่ใช่แค่โลกสวย แต่เป็นคนที่สวยพร้อมทั้งความคิดและการกระทำ 

You may also like

Blog Business Health Lifestyle

สัญลักษณ์วันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง พร้อมความหมายของตกแต่งคริสต์มาส และธีมสีคริสต์มาส

post-image

เมื่อพูดถึงวันคริสต์มาส สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึง มักจะเป็นลุงหน้าตาใจดี มีหนวดเคราสีขาว และสวมชุดสีแดง ชอบมาแจกของขวัญคริสต์มาสให้กับเด็ก ๆ และผู้คน ใช่แล้ว “ซานตาครอส” นั่นเอง และสัญลักษณ์วันคริสต์มาสอีกสิ่งที่จะขาดไม่ได้ คือ “ต้นคริสต์มาส” หรือ ต้นสนที่ถูกประดับด้วยของตกแต่งต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญ และเป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่า เทศกาลแห่งความสุขใกลเข้ามาแล้ว ดังนั้น เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้ Homedecorily จะมาชวนทุกคนแต่งบ้านด้วยสิ่งของวันคริสต์มาส พร้อมกับประวัติที่มาที่ไป ทำไมจึงนิยมนำมาใช้เป็นของตกแต่ง จนกลายเป็นสัญลักษณ์เทศกาลคริสต์มาส

สัญลักษณ์วันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง

1. ต้นคริสต์มาส (Christmas Tree)

ต้นคริสต์มาส เปรียบเสมือนเป็น ต้นไม้แห่งชีวิต หรือ ต้นไม้ในสวนสวรรค์ของพระเจ้า เนื่องจากเป็นต้นไม้มีสีเขียวขจีตลอดปี อีกทั้งในคำภีร์ไบเบิล (ยอห์น 15:5) ได้กล่าวไว้ว่า พระเยซู เปรียบเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต คอยเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ผู้คนท่ามกลางความมืด เป็นศูนย์รวมจิตใจ หล่อหลอมให้ผู้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้น ต้นคริสต์มาส เป็นสัญลักษณ์ของศูนย์รวมคนในครอบครัวช่วงวันคริสต์มาส เมื่อใกล้เข้าสู่เดือนธันวาคม ผู้คนจะเริ่มดีไซน์และตกแต่งต้นคริสต์มาส เพื่อต้อนรับและเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขพร้อมกับครอบครัวหรือคนที่รัก โดยแต่ละบ้านและสถานที่ต่าง ๆ จะมีการประดับด้วยของตกแต่งสัญลักษณ์วันคริสต์มาสที่มีความหมายแตกต่างกันไป

สำหรับที่มาของต้นคริสต์มาส เริ่มจากมิชชันนารีชาวอังกฤษ เซนต์บอนิเฟส ที่เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในเยอรมนี ได้ทำการช่วยเหลือเด็กถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย และกำลังจะถูกฆ่าใต้ต้นโอ๊ก หลังจากช่วยเหลือเด็กได้ และมีการโค่นต้นโอ๊กทิ้ง ปรากฏ ต้นสนเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ขึ้นอยู่ที่โค้นต้นโอ๊ก มิชชันนารีจึงเปรียบต้นสนเสมือนว่าเป็นต้นไม้แห่งชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ จนกระทั่ง เดือนธันวาคม ค.ศ.1540 มาร์ติน ลูเธอร์ ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ได้เห็นแสงจันทร์ส่องลอดผ่านต้นสน มีความสวยงามน่าอัศจรรย์ จึงได้ตัดต้นสนไปตั้งไว้ในบ้าน และตกแต่งด้วยแสงเทียน จนมีผู้คนนำไปทำตามทั่วเยอรมนี กระทั่งเริ่มแพร่หลายในประเทศอังกฤษและทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนเหตุผลที่ใช้ต้นสนทำเป็นต้นคริสต์มาส เพราะหาง่าย โดยเฉพาะในประเทศโซนยุโรป

2. พวงมาลัยคริสต์มาส (The Christmas Wreath)

พวงมาลัยคริสต์มาส หรือ The Christmas Wreath คือ สัญลักษณ์ของมงกุฏหนามบนศีรษะพระเยซู เมื่อครั้งถูกนำไปตรึงบนกางเขน ซึ่งชาวคริสต์เชื่อกันว่า มงกุฏของเยซูจะช่วยลดทอนพลังชั่วร้าย ปกป้องทุกคนในบ้านให้ปลอดภัยจากปีศาจร้ายได้ จึงนิยมนำ The Christmas Wreath แขวนไว้หน้าประตูบ้าน…

Read More
Blog Business Lifestyle

บริหารเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังเกษียณ 

post-image

สำหรับใครที่กำลังเริ่มวางแผนปลดตัวเองออกจากงานประจำอยู่ หรือเข้าวัยที่ใกล้จะเกษียณ แต่ยังมองภาพไม่ออกว่าจะบริหารการเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังจากเกษียณโดยไม่ลำบาก และยังมีเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ลองทำตาม การบริหารเงินให้มีเงินใช้เมื่อต้องเกษียณอายุงาน แบบฉบับนักวางแผนการเงิน ที่เราได้นำมาฝากในบทความนี้กันดีกว่า รับรองว่า ทำได้ตามนี้มีเงินไว้ใช้ยามเกษียณแน่นอน  

1. แยกประเภท “รายจ่าย”  ก่อนจะต่อยอดเงิน

ในการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ย่อมมี รายจ่าย เป็นอุปสรรคใหญ่ของการเก็บออมเงิน มีทั้งแบบที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ ทำให้มีเงินไม่พอเก็บ หรือมัวแต่จ่ายจนลืมเก็บ เพราะไม่มีการจัดการบริหารการเงินใด ๆ แต่ถ้าต้องมีสภาพคล่องทางการเงินในชีวิตหลังเกษียณ การทำความเข้าใจในรายจ่ายแต่ละประเภท จัดเรียงความสำคัญ เพื่อที่จะได้วางแผนการเงินจึงมีความสำคัญ โดยประเภทรายจ่ายในการดำเนินชีวิต มีดังนี้ 

  • หนี้สิน รายจ่ายสำคัญข้อแรกที่ต้องให้ความสำคัญ และไม่ควรลืมที่จะหาทางการชำระหนี้ให้ถูกต้อง เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ เป็นต้น 
  • รายจ่ายทั่วไป คือ รายจ่ายที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าดูแลส่วนอื่น ๆ ภายในบ้าน 
  • รายจ่ายการดูแลสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ ถือว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ การวางแผนการเงินในส่วนนี้ จะช่วยให้สะดวกและลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลลงได้ เช่น การทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เป็นต้น 
  • รายจ่ายอื่น ๆ มักจะเป็นการจ่ายเพื่อเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในด้านการเข้าสังคม การซ่อมแซมบำรุงหรือตกแต่งที่อยู่อาศัย หรือค่าใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยว 

ต้องเก็บเงินเท่าไรจึงจะมีเงินใช้หลังเกษียณ

การคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ในการเก็บเงินใช้หลังเกษียณ สามารถคำนวณได้ดังนี้ 

ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ = รายจ่าย / ปี   x  80%  x จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ 

2. มองหาแหล่ง “รายได้” ประจำ 

หลังจากที่คำนวณรายจ่ายคร่าว ๆ ที่จะต้องมีไว้ใช้หลังเกษียณกันไปแล้ว จากนั้นเราก็มาคำนึงรายได้ในช่องทางต่าง ๆ เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

Blog Business Lifestyle

แหนแดงคืออะไร ใช้แหนแดงทดแทนปุ๋ยเคมีดีไหม 

post-image

กระแสแหนแดงมาแรงแซงทางโค้ง เนื่องจากปุ๋ยราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกษตรกรมีภาระหนักเกินกำลัง จึงต้องมีการมองหาตัวช่วยที่จะใช้ทดแทนปุ๋ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในส่วนของต้นทุนการผลิต ทำให้ แหนแดง เข้ามามีบทบาทสำคัญกับเกษตรกรและการเกษตรอย่างมีนัยยะ 

แหนแดงคืออะไร 

แหนแดง (Azolla spp.) เป็นพืชชนิดเฟิร์นน้ำขนาดเล็ก พบได้ในบริเวณน้ำนิ่งทั่วไป ในใบของแหนแดงมี Cyanobacteria หรือ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน อาศัยอยู่ จึงช่วยสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ ทำให้แหนแดงมีธาตุไนโตรเจนสูง เติบโตง่าย ปลอ่ยไนโตรเจนและธาตุอาหารพืชอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสลายตัวได้ง่าย เหมาะต่อการนำมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และ อาหารสัตว์ ทำให้มีการนำแหนแดงแห้งมาใช้เป็นแหล่งธาตุอาหารให้กับผัก โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ที่ช่วยบำรุงพืชผักในส่วนของใบและลำต้นได้เป็นอย่างดี 

ชาวนานิยมนำแหนแดงใช้ร่วมกับการปลูกข้าวเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด และช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าว ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการใช้ประโยชน์แหนแดงในนาข้าวเท่านั้น แต่เมื่อปุ๋ยมีราคาแพงมากขึ้น และมีกระแสส่งเสริมเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ด้วยคุณสมบัติของแหนแดงที่สามารถใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กรมวิชาการเกษตรได้นำประโยชน์ของแหนแดงมาใช้กับพืชอื่น ๆ จนกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่มีศักยภาพสูงและมีบทบาทสำคัญต่อระบบเกษตรพอเพียง เนื่องจากเป็นพืชที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการเกษตรครบวงจร

แหนแดงมีประโยชน์ด้านการเกษตรอย่างไร

  • ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ทำให้ลดการใช้เคมี ช่วยลดต้นทุน
  • เพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน 
  • ใช้ควบคุมวัชพืชในนาข้าว ลดการใช้เคมีกำจัดวัชพืช 
  • ใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืชผักและผลไม้อื่น ๆ ได้ 
  • ใช้แหนแดงร่วมกับปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ยเคมี ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10 -15% 
  • ใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด ปลา และ สุกร 
  • ต้นทุนการผลิตต่ำ

เนื่องจากแหนแดงเป็นพืชธรรมชาติ เลี้ยงและขยายพันธุ์ง่าย เติบโตไว ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตไว้ใช้เองได้ ใช้ต้นทุนการผลิตต่ำมาก โดยเอกสารทางกรมวิชาการเกษตรได้ระบุไว้ว่า เมื่อหว่านแหนแดงในนา 1 ไร่ จะได้ผลผลิตแหนแดงประมาณ 3,000 กิโลกรัม หรือประมาณ 3 ตัน ซี่งเทียบได้กับปุ๋ยยูเรียประมาณ…

Read More
Blog Business Lifestyle

ใส่ซองงานแต่งยังไงไม่ให้เกิดดราม่า 

post-image

ใครที่กำลังเครียดเพราะถูกเชิญไปงานแต่อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งของญาติ งานแต่งเพื่อนสนิท งานแต่งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่งานแต่งเจ้านาย เพราะไม่รู้ว่าจะใส่ซองงานแต่งเท่าไรจึงเหมาะกับฐานะเจ้าของงาน จะใส่มากแต่รายได้ตนเองก็แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง หากใส่เงินน้อยก็ห่วงจะมีดรามาตามมา กลัวเพื่อนเลิกคบ โดนนินทา เป็นที่เม้าท์มอยสารพัด อันเป็นผลพวงมาจากจำนวนเงินใส่ซองงานแต่ง คิดแล้วทำให้อยากรู้ว่าใครกันนะเป็นผู้บัญญัติประเพณีการใส่ซองงานแต่งนี้ขึ้นมา ทำไมต้องมีการใส่ซองงานแต่ง ทำไมสังคมต้องตัดสินให้คนใส่เงินในซองน้อยกลายเป็นคนผิด และใส่ซองงานแต่งยังไงจึงจะเหมาะสม โดยไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนในภายหลัง 

ใส่ซองตามกำลังทรัพย์ที่มี โดยยึดรายได้ของตัวเองเป็นหลัก 

เมื่อได้รับเชิญงานแต่งที่ต้องมีการใส่ซอง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในอันดับแรกเมื่อจะทำการใส่ซอง คือ คำนึงถึงรายได้ของตนเองก่อน สำหรับใครที่มีทักษะบริหารการเงิน จะมีการแบ่งเงินในส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจน อาจมีการแพลนค่าไปร่วมงานต่าง ๆ ไว้ เช่น ยอดเงินที่จะใส่ซองร่วมงานต่าง ๆ เพื่อไม่เป็นการสร้างความลำบากให้ตนเองในภายหลัง เคยเจอคำถามว่าใส่ซองงานแต่ง 400 ได้ไหม เพราะว่างงาน หรือมีรายได้น้อย ก็ได้มีผู้แนะนำว่าการใส่ซองงานแต่งที่ดีต่อทั้งตนเองและเจ้าภาพ คือ ไม่ควรใส่ซองเกิน 5% ของรายได้ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท ไม่ควรใส่เงินเกิน 1,000 บาท แต่จะใส่เท่าไรในระหว่างจำนวนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่นำมาประกอบในการตัดสินใจต่อไป 

ใส่ตามระดับความสนิทกับเจ้าภาพ

ปัจจัยหลัก ๆ ของจำนวนเงินที่ใส่ซองงานแต่งมักจะขึ้นอยู่กับความสนิทต่อเจ้าภาพเป็นส่วนใหญ่ หากเป็นการใส่ซองงานแต่งเพื่อนสนิท หรือ ญาติพี่น้อง อาจใส่จำนวนเงินมากกว่างานแต่งของคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเงินในซองถือเป็นสินน้ำใจแสดงความยินดี และช่วยเป็นทุนสนับสนุนในการสร้างครอบครัวใหม่ของคนที่เรารักหรือมีความใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งสนิทมาก รักมาก ยิ่งต้องแสดงความรักและซัพพอร์ทเต็มที่ อาจใส่ซองงานแต่ง 4000 หรือ น้อยกว่า – มากกว่า เท่าที่กำลังทรัพย์เราไหว ส่วนเจ้าภาพที่ไม่ได้สนิทเท่าไร อาจเป็นเพียงคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน อาจใส่น้อยกว่า 1000 บาท ตราบใดที่ไม่เกิน 5% ของรายได้ที่เรามี

ไปร่วมงานแต่งด้วยหรือไม่ 

กรณีใส่ซองงานแต่งไม่ได้ไปร่วมงาน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม หากจำนวนใส่ซองจะน้อยกว่าปกติสักเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดอะไร แต่ถ้าเป็นงานของคนสนิท ญาติมิตร ไม่ควรลดจำนวนเงินใส่ซองให้น้อยลง แต่ควรใส่ซองตามจำนวนปกติหรืออาจมากกว่าเดิม  

Read More
Lifestyle Politics Travel

ระวัง! ถ้าไม่อยากติดคุก ห้ามพูดคำเหล่านี้เด็ดขาดเมื่ออยู่สนามบิน 

post-image

เชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์โดยสารเครื่องบินในการเดินทาง ย่อมต้องรู้กฏเกณณ์ห้ามพกพาสิ่งใด หรือห้ามพกวัตถุใดขึ้นเครื่องบิน รวมไปถึง คำต้องห้าม ที่ห้ามพูดเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยในเจตนาหยอกล้อ หรือพูดเพื่อเป็นมุขตลกก็ตาม เพราะสนามบินคือสถานที่รวมกันของผู้คนหลายเชื้อชาติและจากหลายประเทศ จึงต้องมีการเข้มงวดในด้านการรักษาความปลอดภัยสูง 

ทำไมจึงต้องมีคำต้องห้ามใช้ในสนามบิน 

เนื่องจากบางคำนั้นอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความตื่นตระหนก โกลาหล และอาจทำให้เกิดเหตุวุ่นวายจนยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้เกิดความสงบได้ ก่อให้เกิดความเสียหาย และเสียเวลาแก่คนจำนวนมาก เพราะอาจต้องมีการตรวจค้น สอบสวน ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนด เป็นเหตุให้ผู้โดยสารท่านอื่นพลาดการเดินทางตามกำหนดจนอาจเกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาล

คำต้องห้ามในสนามบินมีอะไรบ้าง 

คำต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นการอ่านหนังสือ หรือพูดกับเพื่อน ก็ห้ามพูดหรือออกเสียงออกมาเด็ดขาด 

  • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
    • ระเบิด (Bomb , Explosive) เช่น พูดว่า มีระเบิด จะระเบิดสนามบิน เปิดกระเป๋าระวังเจอระเบิด ปาระเบิด เป็นต้น 
    • อาวุธ มีด ปืน  (Gun) เช่น มีปืนกี่กระบอก พกมีดติดตัวมาด้วย 
    • โรคระบาดร้ายแรง เช่น พูดว่า ติดโควิด ป่วยเป็นอีโบล่า 
    • วัตถุอันตราย เช่น ไซยาไนด์หาซื้อได้ที่ไหน 
    • จี้เครื่องบิน ปล้นเครื่องบิน (Hijack) เช่น พูดว่า หยุดนะนี่คือการปล้น จะปล้นให้หมด จะจี้เครื่องบิน หรือ hijack เป็นต้น 
    • การก่อการร้าย (Terrorist Attack) เช่น พูดว่า จะมีการก่อการร้าย นี่คือการก่อการร้าย 
    • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
  • Read More
    Business

    รวมกองทุนปันผลที่น่าสนใจ กองทุนตัวไหนน่าจะเหมาะกับเรา

    post-image

    ใครที่เริ่มสนใจหรือมองหาการลงทุนเพื่ออนาคต แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนกับกองทุนไหนดี เพราะไม่เคยทำมาก่อน เราจะมาพาทำความรู้จักกับกองทุนปันผลในตลาดหุ้นหรือธีมที่นับว่าแข็งแกร่ง น่าสนใจที่จะลงทุน โดยจะเลือกลงทุนรายตัวหรือจัดเป็นพอร์ตให้กระจายตัวดี 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร

    ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าระหว่าง หุ้นปันผลคืออะไร และกองทุนปันผลคืออะไร จะได้รู้ว่าเหมือนหรือต่างกัน  หุ้นปันผล เป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่นักลงทุนต้องการจะมีเก็บไว้อยู่ในพอร์ตลงทุน เพื่อให้ได้เงินปันผลส่วนนี้เป็นรายได้เสริม หรืออาจกลายเป็นรายได้หลักหลังจากที่เกษียณไปแล้ว แต่บางคนอาจต้องการมีหุ้นปันผลเพื่อลดความเสี่ยง ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน หรือจะทำพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ กองทุนปันผล คือ กองทุนที่นำกำไรที่ได้จากการลงทุนมาแจกจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนนั่นเอง โดยปัจจุบันบริษัทจะนิยมจ่ายเงินปันผล 2 แบบ ด้วยกัน คือ 

    1. จ่ายเป็นเงินสด หรือ Cash Dividend คือรูปแบบที่บริษัทส่วนใหญ่นิยมกันมาก โดยมีเงินปันผลที่ได้มาจากกำไรสะสมของบริษัท โดยจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานปกติ ข้อดี คือ นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล โดยที่การลงทุนจะยังดำเนินต่อไป ส่วนข้อเสีย คือ เงินปันผลที่ได้อาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก เนื่องจากมีการหักภาษีเงินปันผล 10% 

    2. จ่ายเป็นหุ้น หรือ Equity Stock Dividend คือ การเพิ่มทุนเป็นหุ้นสามัญ แล้วจึงจะนำมาจ่ายปันผล โดยกำหนดจ่ายตามอัตราส่วนที่กำหนด เช่น จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นปันผลในอัตราส่วน 10 : 1 คือ ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับหุ้นปันผล 1 หุ้น ในทุก ๆ หุ้นเดิมที่ถืออยู่จำนวน 10 หุ้น หากถือหุ้นสามัญ 1,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 100 หุ้น และถ้าถือหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 1,000 หุ้น เป็นต้น 

    โดยปกติหุ้นปันผลจะมีอัตราเงินปันผลหรือ Dividend Yield โดยคำนวณมาจากเงินปันผลต่อหุ้น / ราคา แต่ในส่วนกองทุนปันผลจะบอกเพียงกองทุนปันผลคิดเป็นกี่บาท / หน่วย ในแต่ละครั้ง ทำให้นักลงทุนไม่สามารถรู้ได้ว่า Dividend เป็นเท่าไร 

    แล้วจะรู้ Dividend Yield ได้อย่างไร ? 

    วิธีการคาดการ Dividend Yield คือ นำส่วนปันผลรวมย้อนหลัง (…

    Read More
    Business Lifestyle

    อัพเดท 7 เทรนด์สีปี 2023 สีไหนมาแรง แต่งบ้านรับปีเถาะกันเถอะ 

    post-image

    สำหรับคนรักบ้าน รักการตกแต่งบ้าน วันนี้เรามาจะอัพเดทเทรนด์สีปี 2023 ซึ่งสีเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมจากเทรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก และทางนิตยสาร Creative Thailand ได้รวบรวมจัดทำขึ้นทุกปี เพื่อส่งเสริมและผลักดันเศรษฐกิจไทย ภายใต้ CEA หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) 

    เราจึงได้นำมาอัพเดทเพื่อเป็นแนวไอเดียให้ใครที่กำลังต้องการจะจัดแต่งบ้านต้อนรับปีใหม่ ซึ่งตรงกับ ปีเถาะ หรือ ปีกระต่าย และเทรนด์สีเหล่านี้ ยังเหมาะต่อการไปใช้กับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงใช้เพื่อสื่อโฆษณาสินค้า การบริการ และงาน Events ต่าง ๆ อีกด้วย มีสีอะไรให้เพื่อน ๆ ได้นำไปใช้เสริมสร้างความปังและทันสมัยกันบ้าง ตามมาเลยค่ะ 

    Elfin Yellow : สีเหลืองอ่อน – ครีม 

    สีเหลืองอ่อนไปจนถึงเกือบออกสีครีม โทนสีที่บ่งบอกถึงความเป็น Minimalism ที่ยังคงได้รับความนิยมในการตกแต่งบ้านเสมอมา เพราะให้ความรู้สึกเรียบง่าย อบอุ่น อ่อนโยน สบายตา นอกจากนี้ โทนสีเหลืองอ่อนยังเป็นสีแห่งการรีเซ็ต การเริ่มหรือสร้างสิ่งใหม่ ๆ และยังเป็นสื่อถึงการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง 

    การตกแต่งบ้านด้วยสีหลักอย่างโทนสีเหลืองอ่อนจะให้สไตล์บ้านมินิมอล แต่ถ้าต้องการเติมความสดใส และความมีชีวิตชีวาให้กับบ้าน อาจใช้เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์สีเหลือง ควบคู่ไปกับสีหลักของบ้านด้วยโทนสีเรียบ ๆ แทน ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในช่วงซัมเมอร์สดใส 

    Lime Green : สีเขียวมะนาว 

    โดยปกติ สีเขียว มักจะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม และมักจะเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ บ้าน และ สำนักงาน เพราะจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบ แต่สำหรับเทรนด์สีปี 2566 ที่ต้องการเพิ่มความล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้เฉดสีเขียวมะนาวเป็นสีที่จะมาแรงแซงทางโค้งอีกสีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสีเขียวมะนาวจะสื่อถึงความสดใสและมีชีวิตชีวาของคนยุค Gen Z ได้เป็นอย่างดี จึงถูกนำมาใช้บนโลกดิจิทัลมากขึ้น 

    แม้ว่าสีเขียวมะนาวจะดูสดและจัดจ้านจนอาจไม่ไหวสำหรับการทาสีผนังบ้าน แต่สามารถนำมาใช้กับของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเพิ่มความสดใสและความโดดเด่นให้กับบ้านมากขึ้น หรือจะลดเฉดลงอีกหน่อยด้วยสีเขียวแอปเปิลก็นับว่าเก๋กู๊ดเลยทีเดียว 

    Blog Business Lifestyle Politics

    วิธีเช็คเบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพโทรหาเรา หรือใครโทรมากันแน่ 

    post-image

    ฮัลโหลวว! นั่นใครโทรมา มิจฉาชีพหรือเปล่าคะ? แต่คงไม่มีมิจฉาชีพคนไหนยอมรับแน่นอน แล้วเราจะมีวิธีไหนเช็คเบอร์ใครโทรมา หรือส่ง SMS พร้อมแนบลิงก์ที่ถ้าเผลอไปกด โดนดูดเงินสูญหมดบัญชี เราจึงต้องมีวิธีป้องกันโดนมิจฉาชีพหลอก ยิ่งช่วงนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาด แถมตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้ เป็นปัญหาสังคมและมีผู้เสียหายไปแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อเราพึ่งใครไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตนเองก่อนในเบื้องต้น ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ 

    Google 

    เมื่อมีเบอร์แปลก ๆ โทรมาหา ไม่ว่าจะก่อนรับสายหรือหลังสายไปแล้ว แต่อยากรู้ว่าใช่เป็นเบอร์มิจฉาชีพหลอกโทรหาเราหรือไม่ ให้นำเบอร์นั้นไปค้นหากับเว็บไซต์กูเกิล หากเป็นหมายเลของมิจฉาชีพที่มีประวัติหลอกลวง เราจะพบข้อมูลที่ผู้เสียหายได้โพสเตือนภัยผ่านบนเว็บไซต์ 

    Facebook 

    เฟซบุคเป็นอีกช่องทางที่สามารถค้นหาเบอร์โทรศัพท์ได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลก ๆ ที่ได้โทรหาเราไปใส่ช่องค้นหา (search) หากเป็นเบอร์ที่เคยมีประวัติหลอกลวง เราจะสามารถพบตามกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มขายของ กลุ่มเตือนภัย ฯลฯ มีผู้เสียหายได้โพสข้อความเตือนภัย พร้อมระบุหมายเลขโทรศัพท์  

    Line 

    อีกช่องทางโซเชียลมีเดียที่ใช้สืบหาเบอร์มิจฉาชีพได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลกที่โทรหาเราไปใส่ในช่องเพิ่มเพื่อน (Add Friend) ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะสามารถค้นหาเจอได้เฉพาะที่หมายเลขลงทะเบียนไลน์เท่านั้น หากแอดด้วยเบอร์โทรฯ แล้ว ไม่พบเจอเป็นผู้ใช้แอปไลน์ปกติทั่วไป ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นมิจฉาชีพ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ 

    Whoscall 

    Whoscall คือ แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมฐานข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ไว้เป็นพันล้านเบอร์ โดยมีผู้โหลดใช้แอป whoscall แล้วมากกว่า 70 ล้านครั้ง โดยแอปฯ นี้ จะมีการระบุหมายเลขโทรศัทพ์ของหน่วยงานต่าง ๆ เบอร์ขายสินเชื่อ เบอร์ขายประกัน รวมไปถึงเบอร์มิจฉาชีพ เมื่อไรที่เบอร์เหล่านี้โทรมา แอปฯ จะดึงข้อมูลมาแจ้งเตือนบนหน้าจอมือถือของเราทันที ทำให้เราสามารถเลือกที่จะรับสายหรือไม่ก็ได้  หรือทำการบล็อกเบอร์นั้นไปเลย ยิ่งไปกว่านั้น whoscall มีฟังก์ชันให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ว่าเป็นใคร เช่น เบอร์ขนส่ง เบอร์มิจฉาชีพ เป็นต้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Whoscall…

    Read More