มองโลกในแง่ดี คือ ทัศนคติที่มีต่อสิ่งหรือเหตุการณ์ต่างๆในทางบวก ด้วยความเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่บนพื้นฐานในแง่บวก หรือหวังว่าผลที่จะออกมานั้นเป็นไปในทางดีหรือตามที่คาดหวังและต้องการ
มองโลกในแง่ดีภาษาอังกฤษ คือคำว่า “Optimism” ซึ่งมาจากรากศัพท์ละตินว่า “Optimum” ที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Best” แปลว่า “ดีที่สุด” ให้ความหมายที่เป็นไปในทางแง่ดี ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นไปในทางที่ดี หรือผลลัพท์ที่ได้จะดีที่สุดตามแต่สถานการณ์
ทัศนคติมองโลกในแง่ดี จะช่วยเสริมสร้างให้เรารู้จักการมองสิ่งรอบตัวไปในทิศทางที่ดี หรืออาจมองเห็นสิ่งดีๆในขณะที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายได้ ซึ่งแม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์-เชอร์ชิล (Winston Leonard Spencer-Churchill) และยังเป็นนักเขียน ได้เคยกล่าวไว้ว่า “คนมองโลกในแง่ร้ายเห็นอุปสรรคในทุกโอกาส แต่คนมองโลกในแง่ดี เห็นโอกาสในทุกอุปสรรค”
นั่นเป็นเพราะว่า การมองโลกในแง่ร้าย จะมองเห็นทุกอย่างเลวร้ายไปหมด และมัวแต่จมปลักกับการโทษทุกสิ่ง จนไม่ได้พยายามที่จะตั้งสติ ที่จะคิดและมุ่งหวังในการหามุมมองหรือทางออก หรือแม้แต่ข้อดีที่อาจนำพาไปสู่หนทางที่ดีกว่า ทำให้คนที่คิดลบอยู่เสมอ มักจะหาทางแก้ไขที่ดีได้ค่อนข้างช้า หรือแม้แต่การพลาดโอกาสดีๆที่แม้แต่เขาเองอาจคาดไม่ถึง

ลักษณะคนคิดบวก
- มองไปข้างหน้าเสมอ แม้จะเจอปัญหาหรือมีอุปสรรคใดๆ
- มองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ สามารถมองหาโอกาสได้แม้ในยามวิกฤติ
- เชื่อมั่นในตนเอง หรือสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง ว่าจะต้องทำได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
- ลองลงมือทำก่อนจะพูดว่าทำไม่ได้
- ชื่นชมสิ่งดีๆแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย
- โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองควรทำ มากกว่าโฟกัสในสิ่งที่คนอื่นทำ
- มองเห็นและมองหาด้านดีของผู้อื่น
- รู้จักยอมรับและปล่อยวาง
- รู้จักขอโทษและขอบคุณ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
- คนมองโลกในแง่บวกจะนิ่งได้ รอได้ ช้าได้ ทนได้
- เมื่อเผลอเกิดอารมณ์ไม่ดี จะตั้งสติหยุดได้เร็ว และนิ่งลงได้เร็วกว่าคนอื่น

ลักษณะคนคิดลบ
- มองทุกสิ่งเป็นเรื่องเลวร้าย และโทษแต่โชคชะตา
- คิดในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือผลที่จะตามมาในทางลบไว้ก่อน
- คิดวนเวียนถึงแต่ความล้มเหลว จมปลักแต่อดีต จนไม่สามารถมองเห็นทางแก้ไข หรือแม้แต่การพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้เลย
- คนที่มองโลกในแง่ร้ายโทษแต่สิ่งรอบตัว และคนรอบข้างเสมอ
- ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง จะมองตัวเองว่าไม่มีความสามารถ และเชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้
- พูดว่า “ไม่” ในทุกเรื่องๆ เช่น ทำไม่ได้ ,ไม่สำเร็จ ,ไม่มีทาง ,ไม่ทัน ,ไม่ได้ ,ไม่ดี , ไม่ได้เรื่อง , ไม่มีทางออก ฯลฯ
- มองเห็นแต่ปัญหา อุปสรรค และความผิดพลาด
- โทษผู้อื่นก่อนเสมอ โวยวายใส่ผู้อื่นก่อนที่จะคุยหรือถามถึงเหตุผล
- จับผิดผู้อื่น เห็นแต่ข้อเสียของผู้อื่น แต่ไม่เคยเห็นความผิดหรือข้อเสียของตนเอง
- รู้สึกเสียหน้าหากจะต้องขอโทษใครก่อน หรือกระดากแม้แต่จะเอ่ยคำว่า ขอบคุณ
คนที่มองโลกในแง่ดี จะมองเห็นหรือพยายามมองหาข้อดีในตัวบุคคลอื่น โดยไม่มองแต่ด้านลบด้านเดียว แล้วทำไมเราควรมองด้านดีๆของคนอื่นน่ะหรือ? หากมองโลกให้เป็นก็จะสามารถเข้าใจได้ว่า ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ 100% “Nobody perfect” แม้แต่ตัวเราเอง และถ้าหากเราพยายามองหาด้านดีในตัวบุคคล เราอาจจะรู้จักคนๆนั้นมากขึ้น หรือสามารถนำด้านดีของคนนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งอาจเป็นไปในเรื่องของงาน หรือทางสังคม เช่น หัวหน้างานรู้ว่ามีลูกทีมที่มีนิสัยเกียจคร้าน แต่เขามีวาทะศิลป์ดีในการพูดหว่านล้อม ก็ให้เขาได้ใช้ตรงนั้นในการเจรจากับลูกค้า เพื่อนร่วมงานที่ชอบออกคำสั่ง แต่มองเห็นว่าเขาทำงานเก่ง ก็จะยังคงทำงานร่วมกันได้โดยไม่เกิดปัญหา หรือแม้แต่นักโทษที่อาจตกเป็นจำเลยของสังคม แต่เขาคนนั้นมีจิตใจรักสัตว์ ก็ให้ทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสัตว์ เป็นต้น
อีกความแตกต่างระหว่างคนคิดบวกกับคนคิดลบ ตัวอย่าง คนคิดบวกเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ดี จะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ปกติทั่วไป ไม่หลงระเริง แต่ถ้าเป็นคนคิดลบ จะคิดว่าเหตุการณ์ดีๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับตน ทำให้หลงมัวเมาอยู่แต่กับสิ่งนั้น และเมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็ทำให้เกิดความเศร้าโศกมาก เพราะความยึดติดในสิ่งนั้น แต่ถ้าเป็นกรณีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นกับคนคิดบวก พวกเขาจะมองว่ามันเกิดขึ้นได้เดี๋ยวมันก็ผ่านไป และหาหนทางดับทุกข์เหล่านั้นได้ แต่กลับกัน หากเป็นคนคิดลบ จะหลงคิดแต่ว่ามันเป็นสิ่งเลวร้ายถาวร ที่ไม่มีทางจะจบลงได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้ง่ายๆนั่นเอง
ทฤษฎีการมองโลกในแง่ดีของ โกลแมน (Goleman) ชี้แจงว่า มีความเกี่ยวข้องและเป็นองค์ประกอบของสติปัญญาทางอารมณ์ (emotional intelligence) เพราะการมองโลกในแง่ดีจะมีแรงจูงใจ ในการคิดว่าทุกสิ่งไม่ได้มีแต่สิ่งเลวร้าย ทำให้มีพลังที่จะสามารถพลิกหาโอกาสได้ ซึ่งจะตรงข้ามกับผู้ที่คิดลบอย่างสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับ บาร์ออน (Bar-On) ที่มองว่าทฤษฎีการมองโลกในแง่บวก เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient) หรือ EQ ซึ่งสามารถเข้าใจในอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และสามารถควบคุมอารมณ์ ยับยั้งชั่งใจในการแสดงออกของตนได้อย่างเหมาะสม ทำให้ช่วยรับมือในการจัดการชีวิต เมื่อตกอยู่ในสภาวะที่มีแรงกดดันได้ไปในทิศทางที่ดี และเซลิกแมน (Seligman) ก็ยังให้เหตุผลทางทฤษฎีการเป็นคนคิดบวกจะเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถมีความสุขได้ง่ายแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย จึงฟื้นตัวจากเหตุการณ์เลวร้ายได้เร็วกว่าคนอื่น

ความแตกต่างของคนคิดบวกกับโลกสวย
หลายๆคนมักจะเข้าใจว่า คนคิดบวกคือพวกโลกสวย และมักจะมีการใช้คำว่าโลกสวยไปในทิศทางที่เป็นการประชดประชันเสียมากกว่า ซึ่งที่จริงแล้ว คนคิดบวกไม่ใช่เป็นพวกโลกสวย แต่คนคิดบวกหรือการมองโลกในแง่ดี หมายถึง การมองโลกตามความเป็นจริง มีเหตุและผลมารองรับ ในสิ่งรอบด้านอย่างชาญฉลาด และบวกด้วยความคาดหวังที่ให้ออกมาในรูปแบบที่ดี แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ก็พร้อมที่จะทำความเข้าใจและยอมรับทั้งในด้านดีและไม่ดี ซึ่งจะตรงข้ามกับคนโลกสวย…อย่างไรน่ะหรือ? เราลองมาเข้าใจคำว่าโลกสวยกันให้ชัดๆกันก่อน เพื่อหลุดพ้นจากความเข้าใจผิดเหมือนหลายๆคนที่เข้าใจผิดกันอยู่
“โลกสวย” คือมองโลกในแง่ดีเกินไป ซึ่งคนประเภทมองโลกในแง่ดีเกินไป ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Overly optimistic โดยเราจะยกตัวอย่างการมองโลกในแง่ดีเกินไปจนจัดว่าเข้าประเภทเป็นคนโลกสวย
มองในแง่ดีเกินไปโดยไม่อยู่ในหลักความเป็นจริง ตัดสินคนอื่นด้วยเหตุผลของตนเอง โดยอวดอ้างคุณธรรม ทั้งที่ไม่ได้รู้ถึงความเป็นจริงในสถานการณ์ เช่น การตัดสินคนในโซเซียล ดูคลิปที่มีเหตุการณ์คนจะกระโดดน้ำเพื่อฆ่าตัวตาย แล้วคนดุคลิปก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนที่ถ่ายคลิปทำไมไม่เข้าไปช่วย ไม่เข้าไปปลอบหรือห้าม ถ้าเป็นตนจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่จริงในสถานการณ์จริง คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่สามารถเข้าไปพละการได้ เพราะไม่รู้ว่าหากเข้าไปช่วย อาจยิ่งทำให้คนที่จะกระโดดน้ำยิ่งเครียดหรือกลัว และตัดสินใจกระโดดน้ำโดยช่วยไม่ทันก็ได้ และอาจมีใครที่ช่วยโทรตามเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะแล้ว
หรือคลิปที่เกิดรถมอเตอร์ไซด์ชนคนข้ามถนน มีแต่คนโทษคนขับมอเตอร์ไซด์ ทั้งที่เขาเป็นผู้ขับมาตามทางถนนอย่างถูกต้อง ด้วยความเร็วที่ไม่ได้เกินจำกัด แต่คนข้ามถนน ข้ามในที่เขาห้าม หรือวิ่งตัดข้ามตัดหน้ากระทันหันโดยไม่ได้ดูรถที่วิ่งมา แต่กลายเป็นว่า ทุกคนตัดสินว่าคนขับมอเตอร์ไซด์เป็นผู้ผิด และลงโทษด้วยการตราหน้า ด่าทอเขาจนเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง และอาจทำให้เขาเกิดความเครียดและทำร้ายตนเองได้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้คือพวกโลกสวย ไม่ใช่คนคนคิดบวก
พวกโลกสวยแบบเห็นผิดเป็นชอบ เห็นขาวเป็นดำ คิดว่าความคิดตนถูกเสมอ แต่กลับไปกัดหรือแขวะคนคิดบวกว่าเป็นพวกโลกสวย เช่น พวกที่ชอบพูดคำหยาบ หรือชอบพูดอะไรไม่คิด แล้วบอกว่าตนเองเป็นคนตรงๆ จริงใจ ไม่เสแสร้งเหมือนพวกที่พูดดีๆ ดัดจริตใช้คำ เกรงใจคนอื่น แต่ไม่จริงใจเท่าตนที่คิดอะไรก็พูดออกไป…แต่ที่จริงแล้ว การเป็นคนจริงใจหรือเป็นคนตรงๆอย่างแท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนพูดคำหยาบ ไม่จำเป็นต้องพูดทุกสิ่งที่ตนคิด เพราะคนไม่มีมารยาท คนถ่อย ย่อมแตกต่างจากคนตรงคนจริง เพราะคนตรงๆคนจริงใจ สามารถที่จะเป็นผู้รู้จักกาลเทศะได้ มีความเกรงใจ และควรมีมารยาทที่ดีต่อผู้อื่น แต่เมื่อใครถามหรือต้องการความคิดเห็น จึงแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่จำเป็นต้องหยาบ หรือยัดเยียดความคิดของตนให้คนอื่นทำตาม เรียกว่าเป็นคนตรงที่คิดบวกและมีมารยาท
มองโลกแง่ดีโดยไม่ดูความจริงของอีกด้าน มองคนในแง่ดีไปหมด ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันผิวเผิน ไม่ตั้งอยู่ในความจริงว่าทุกคนล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อาจเห็นว่าเขาหน้าตาดี หน้าที่การงานดี แต่งตัวดี ฐานะตระกูลดี จึงคิดว่าเขาจะต้องโปรไฟล์ดีเลิศ แม้มีใครบอกใครเตือน ก็ไม่เชื่อ และคิดว่าไม่จริง เป็นไปไม่ได้ เพราะมองเขาในแง่ดีไปหมดเสียแล้ว โลกสวยจนกู่ไม่กลับ เช่น เกิดคดีข่มขืน เห็นหน้าโจรหน้าตาดีฐานะดี ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้ เพราะหน้าตาและฐานะดีขนาดนั้นๆ สาวๆต้องต่อคิวเข้าหา ไม่จำเป็นต้องไปข่มขืนใคร อย่างนี้เป็นต้น โดยอาจลืมไปว่า ไม่ว่าจะหน้าตาอย่างไร หรือเป็นใครมาจากไหน ก็สามารถทำดีหรือทำเลวได้เหมือนกันหมด
เห็นได้ว่าคนคิดบวกและคนโลกสวยนั้นแตกต่างกันอย่างมาก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเข้าใจผิดและหลงประเด็น จึงมักโยนความหมายที่ผิดๆไปทางคนคิดบวกตามที่เรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ทำให้ใครหลายคนที่อยากจะหัดมองโลกในแง่ดี อาจไม่กล้าจะแสดงพลังบวกออกมา แต่สำหรับคนที่ฝึกจิตคิดบวกอยู่เสมอ จะกล้าก้าวข้ามและยืนหยัดความเป็นตัวตน แม้จะรู้ว่าอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่สามารถเข้าใจเขาได้ก็ตาม

ข้อดีของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี คิดบวก
- มีความสามารถในการจัดการปัญหา เพราะทุกคนย่อมจะต้องเจอปัญหา อุปสรรคต่างๆเข้าในชีวิตให้จัดการ ครอบครัว ความสัมพันธ์ การงาน การเงิน ฯลฯ คนที่มองโลกในแง่ดี จะไม่จมอยู่แต่กับปัญหา แต่จะพยายามมองหาทางออก และใช้ความคิดบวกว่าจะต้องเจอสิ่งดีๆ เป็นแรงผลักดัน มองหาหนทางแก้ไข จนทำให้สามารถเจอวิธีแก้ไข และหาทางออกของปัญหาได้ในที่สุด
- มีพลังชีวิต เพราะการคิดบวก มีคติมองโลกในแง่ดี ไม่จมอยู่แต่กับความเศร้า ทำให้ไม่นิยมสะสมความเครียด จึงมีส่วนของสมองที่จะมองเห็นและซึมซับความสุขในด้านอื่นๆได้ไม่ยาก ทำให้ชีวิตมีพลังที่จะก้าวเดินต่อไปได้เต็มที่
- ส่งเสริมความกล้าและความภูมิใจในตนเอง เพราะคนมองโลกในแง่ดีคือคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเองได้ด้วยตนเอง และเชื่อมั่นว่าตนจะต้องทำได้ “ I can do it! ” และเมื่อลงมือทำแล้ว แต่กลับไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ก็จะยอมรับ และหาหนทางแก้ไข หรือมองหาทางอื่นที่ตนจะทำได้ดีกว่า โดยไม่จมกับการโทษตัวเอง และอยู่แต่กับความผิดพลาดนั้นจนก้าวต่อไม่ได้
- สุขภาพดีกว่าที่เคย เพราะการรู้จักมองโลกในแง่ดี จะทำให้ไม่สะสมความเครียด ลดความกังวล ลดความกดดันต่างๆ ส่งผลต่อระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ทั้งการไหลเวียนของเลือด หัวใจเต้นช้าลง ลดความดันโลหิตสูง เพิ่มไขมันดี แต่ไขมันเลวลดลง
- ไม่เป็นคนหงุดหงิดหรือเครียดง่าย รู้จักควบคุมอารมณ์ มีเหตุผล เพราะสามารถมองทุกสิ่งตามความเป็นจริง
- รู้จักปล่อยวางได้ง่ายและเร็ว
- ดูอ่อนเยาว์ หรืออ่อนวัยกว่าคนในวัยเดียวกัน ผลมาจากที่ไม่มีความเครียดสะสม ความคิดดีๆมีผลต่อสารความสุขในร่างกาย และส่งผลต่อสมอง รวมไปถึงเซลล์ในร่างกาย ทำให้ระบบภายในดีออกมาสู่ภายนอก แลดูอ่อนกว่าวัย
- ดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต คนคิดบวกหรือมักมองโลกในแง่ดี ก็มักจะเจอสิ่งดีๆ อันเนื่องมาจากกฏแรงดึงดูด จากวิธีมองโลกในแง่ดีหรือมุมมองของเราเอง
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วคิดว่าหลายๆคนคงอยากมองโลกในแง่ดี เพราะมีแต่ผลดีกับชีวิตตนเองและคนรอบข้าง และจะได้เข้าใจว่า ที่จริงแล้วโลกใบนี้ไม่ได้เลวร้าย แต่การคิดแง่ร้ายและกระทำตามความคิดลบของคนเราต่างหาก ที่ส่งผลให้มันเลวร้ายต่อโลก ฝึกทีละนิด ไม่ต้องรีบร้อน แต่ฝึกประจำให้บ่อยๆ จนเคยชินเป็นนิสัย แล้วคุณก็จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เป็นคนคิดบวก ไม่ใช่แค่โลกสวย แต่เป็นคนที่สวยพร้อมทั้งความคิดและการกระทำ