Lifestyle Blog

วิธีเลือกทรงแว่นเหมาะกับรูปหน้า ช่วยเสริมบุคลิก

“แว่นตา” นอกจากจะใส่เพื่อช่วยในการมองเห็นสำหรับผู้มีปัญหาด้านสายตา และเพื่อกันแสงยูวีทำร้ายดวงตาแล้ว ในยุคดิจิทัลแบบปัจจุบัน แว่นตา มีบทบาทและถูกนำมาใช้ประโยชน์หลายด้านมากขึ้น เนื่องจากกิจกรรมและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ทั้งการทำงานกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา การทำงานกับจอโทรศัพท์มากขึ้น การเรียนออนไลน์ ทำให้สายตาคนเราได้รับแสงสีฟ้าแทบจะตลอดเวลา หรือแม้แต่ในแสงแดดที่หลายๆคนอาจคาดไม่ถึง เราจึงเห็นคนยุคปัจจุบันใส่แว่นตากันมากขึ้น ทั้งแว่นสายตา แว่นกันแดด แว่นกรองแสง หรือแว่นแฟชั่น 

แต่สิ่งสำคัญในการเลือกแว่นตา ที่นอกจากจะเลือกให้เหมาะกับค่าสายตา ไม่ว่าจะเป็นแว่นสายตาสั้น แว่นสายตายาว แว่นสายตาเอียง และรูปแบบการใช้งาน อย่างการสวมแว่นกันแดดเมื่อต้องเผชิญแดดจ้า สวมแว่นกรองแสงสีฟ้าเมื่อต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือแว่นตัดแสงเมื่อต้องขับขี่ยานพาหนะ เป็นต้น แต่จะดีกว่าไหม หากการเลือกแว่นตาเข้ากับรูปหน้า จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ได้มากขึ้น แต่รูปหน้าคนเราแตกต่างกัน อีกทั้งทรงแว่นตาก็มีให้เลือกหลากหลาย แล้วรูปหน้าอย่างเราจะใส่แว่นทรงไหนดี?

ก่อนอื่นเราต้องรู้จักรูปหน้าของตนเองก่อนว่าเป็นหน้ารูปแบบไหน จะได้เลือกทรงแว่นตาได้เข้ากับเราได้มากที่สุด

1.Oval face ใบหน้ารูปไข่  คือ ใบหน้าที่มีความยาวกว่าความกว้าง หน้าผากกว้างกว่าช่วงกราม มีช่วงกรามและคางโค้งมนและเรียวได้รูปชัดเจน เป็นใบหน้าที่ใฝ่ฝันของสาวหลายๆคนเลยทีเดียว ถ้าถามว่าหน้าทรงไข่ใส่แว่นแบบไหนถึงจะสวย บอกได้เลยว่าแทบจะทุกทรงเลย น่าอิจฉาอะไรขนาดนี้ ไม่ว่าจะทรงหยดน้ำ ทรงนักบิน ทรงเหลี่ยม ทรงกลมต่างๆ สาวใบหน้ารูปไข่ สวมได้หมด เพียงแต่ต้องระวังไม่ให้ขาแว่นตาอยู่ต่ำเกินไป และหลีกเลี่ยงแว่นโอเวอร์ไซส์ เพราะจะยิ่งทำให้ใบหน้าดูยาวมากขึ้นไปอีก

2. Round face ใบหน้ากลม คือใบหน้าที่มีโครงหน้าสั้น แต่มีความสมดุล ความยาวและความกว้างของใบหน้าเท่ากัน บริเวณแก้มมีเนื้อเยอะ กรอบหน้าโค้งมน คนหน้ากลมจึงต้องเน้นแว่นตาทรงที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจน อย่างทรงเรขาคณิต ทรงเหลี่ยมต่างๆ หรือทรง Cat-eye เพื่อช่วยปรับรูปหน้าให้มีดูมีมิติขึ้น และกรอบแว่นที่มีลักษณะบาง ทำให้หน้าไม่ดูแคบจนเกินไป และเลี่ยงเด็ดขาดสำหรับคนหน้ากลมคือแว่นทรงกลมทั้งหลาย ไม่ว่าจะขนาดใดก็ตาม เซย์โนว์ใส่เท่านั้น 

3. Heart face ใบหน้ารูปหัวใจ คือ ใบหน้าที่มีเสน่ห์และสวย เริ่มตั้งแต่หน้าผากมีลักษณะคล้ายกับวาดรูปหัวใจ มีไรผมแหลมลงมากลางหน้าผาก หน้าผากกว้างกว่าช่วงคาง ช่วงคางแคบ แต่ก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจน กรอบหน้าดูเข้ารูป หากจะเลือกแว่นให้เหมาะกับโครงหน้ารูปหัวใจ ควรเลือกแว่นทรงกลม แว่นทรงนักบิน แว่นทรงรี แว่นทรงแคทอาย แต่ควรเลี่ยงแว่นทรงเหลี่ยมทั้งหลาย ทั้งแว่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และแว่นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส 

4. Oblong face ใบหน้ารูปยาว คือ ใบหน้าที่คล้ายกับใบหน้ารูปไข่ แต่จะมีความยาวมากกว่า โดยช่วงบริเวณหน้าผากยาว แก้มไม่เยอะ แต่ช่วงแก้มด้านข้างจะดูยาว คางแคบลง มีความกว้างของหน้าผาก-โหนกแก้ม-กราม เท่ากัน  การเลือกแว่นให้เหมาะกับโครงหน้ารูปยาว ควรเป็นแว่นที่มีขนาดใหญ่ แบบโอเวอร์ไซส์ เพื่อช่วยลดความยาวของใบหน้าลง ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาทรงกลม แว่นตาทรงรี แว่นตาทรงตาแมว หรือแว่นตาทรงเหลี่ยม 

5. Triangle face ใบหน้ารูปสามเหลี่ยม คือ ใบหน้า V-Shape ที่สาวๆใฝ่ฝันและนิยมทำหน้าเรียวกันมาก ซึ่งจะเป็นโครงหน้าที่เหมือนสามเหลี่ยมมุมกลับ มีหน้าผากกว้างและสูง เส้นกรอบหน้าแคบเรียวลงมาจนถึงคาง ส่วนบริเวณคางก็จะมีความแหลมที่เห็นได้ชัดจนคล้ายตัววี (V)  แว่นที่เหมาะกับโครงหน้ารูปสามเหลี่ยม ควรเลือกสวมแว่นที่มีสีอ่อน หรือแว่นชนิดไร้กรอบไปเลย และควรหลีกเลี่ยงกรอบแว่นทรงเหลี่ยมทุกชนิด 

6. Square face ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม คือ ใบหน้าที่มีความกว้างและความยาวเท่าๆกัน กรอบหน้าจะตัดตรงลงมา ปลายคางตัด และสันกรามค่อนข้างกว้างจนเห็นเป็นเหลี่ยมได้ชัดเจน หากต้องการเลือกแว่นเหมาะกับโครงหน้าสี่เหลี่ยม ควรเป็นแว่นตาทรงโค้งมน ที่จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวมากขึ้น อาทิเช่น แว่นตาทรงกลม แว่นตาทรงหยดน้ำ แว่นตาทรงนักบิน Aviator ยิ่งทำให้ใบหน้าดูเก๋ และควรเลี่ยงเลยคือ แว่นตาทรงเหลี่ยมทั้งหลาย รวมไปถึงแว่นกรอบหนาๆ เพราะจะยิ่งไปเน้นความเหลี่ยนบนใบหน้าชัดเจนขึ้นไปอีก 

7. Diamond face ใบหน้ารูปเพชร คือใบหน้าที่มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด โดยบริเวณหน้าผากแคบ คางแหลมและกระดูกแก้มใหญ่ มีความสูงของใบหน้า แต่หน้าผากกับคางจะแคบกว่าหน้ารูปทรงไข่ แว่นที่เหมาะกับทรงหน้ารูปเพชรคือ แว่นตาที่มีความโค้งมน อย่างแว่นทรงรี แว่นทรงกลม แว่นทรง cat eye จะช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับใบหน้ามากยิ่งขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงแว่นตาที่ความกว้างกว่าโหนกแก้ม หรือแว่นตาทรงเหลี่ยม เพราะจะยิ่งไปเน้นกรอบหน้าให้ดูกว้างยิ่งขึ้น รวมไปถึงแว่นตาที่มีรูปแบบยาวหรือมีความแคบ 

นอกจากรูปทรงของแว่นตาจะมีความหลากหลายแล้ว วัสดุที่นำมาประกอบทำแว่นตาก็มีหลายชนิดด้วยเช่นกัน ทำให้การเลือกแว่นตาอาจจะดูแต่ดีไซน์และรูปทรงไม่ได้เสียแล้ว เพราะแว่นตาแทบจะเป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้เลยของคนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสายตา ที่แทบจะเรียกว่าเป็นอวัยวะที่ 33 ขาดแทบไม่ได้เลย จึงจำเป็นจะต้องดูวัสดุเพื่อความคงทน สวมใส่สบาย ไม่หนัก และตอบโจทย์ต่อการใช้งาน ดังนั้นวัสดุของตัวแว่นจึงสำคัญไม่แพ้การเลือกทรงแว่นให้เหมาะกับรูปหน้าเลย โดยวัสดุที่นำมาประกอบทำเป็นแว่นตานี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ โลหะ และ พลากสติก

1.กรอบแว่นตาจากวัสดุโลหะ 

  • กรอบแว่นสเตนเลสสตีล วัสดุที่ผสมระหว่างเหล็กและโคเมียม มีความทนทานสูง ทนต่อความร้อน ความกัดกร่อน และทนต่อการเสียดสีได้ดี แม้จะเป็นสเตนเลสสตีล แต่ก็สามารถดีไซน์และทำออกมาได้บาง ไม่หนาจนเทอะทะ ให้ความรู้สึกหรูหรา แต่แข็งแรงทนทาน 
  • กรอบแว่นไทเทเนียม มีความทนทานกว่าโลหะทั่วไปสูงกว่าเท่าตัว ทนต่อการกัดกร่อนได้ดี โดยเฉพาะน้ำทะเล ไม่มีนิกเกิลเจือปน จึงเหมาะมากกับผู้ที่มักจะมีอาการแพ้นิกเกิลที่เจือปนในวัสดุหรืออุปกรณ์ต่างๆ 
  • กรอบแว่นไทเทเนียมอัลลอย กรอบแว่นโลหะที่มีความเหนียว ยืดหยุ่นสูง สามารถบิดงอได้ โดยไม่เสียรูปและไม่หัก แข็งแรงทนทาน แต่มีน้ำหนักเบา สามารถดีไซน์และทำกรอบแว่นออกมาได้บางมาก แต่ให้ความเงาและหรูหราในเวลาเดียวกัน และด้วยคุณสมบัติของไทเทเนียมอัลลอย ที่มีความแข็งแรงทนทานสูง ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนกรอบแว่นบ่อยๆ ทั้งประหยัดและลดขยะ สายรักษ์โลกน่าจะเลิฟ

2. กรอบแว่นตาจากวัสดุพลาสติก

  • กรอบแว่นพลาสติก Acetate เป็นวัสดุแข็งแรง ทนต่อรอยขีดข่วน สามารถทำได้หลายสี ให้สีสดชัด ไม่ลอก เหมาะกับผู้ที่มักจะมีอาการแพ้โลหะ
  • กรอบแว่น TR90 เป็นวัสดุพลาสติกผสมไนลอน ทำให้กรอบมีความแข็งแรง และยืดหยุ่นกว่าพลาสติก Acetate จึงสามารถบิดงอได้มากกว่า 
  • กรอบแว่น Uitem พลาสติกเนื้อผสม มีความทนทานสูง น้ำหนักเบามาก ยืดหยุ่นได้ดี สามารถบิดงอได้โดยไม่เสียรูปทรง 

บทความนี้คงจะช่วยให้ผู้ที่ต้องการเลือกแว่นให้เหมาะกับหน้า รู้ว่าแว่นทรงไหนเหมาะกับคุณ ทรงแว่นหน้ายาวใส่แบบไหน หน้ากลมใหญ่ใส่แว่นแบบไหน หน้าเหลี่ยมใส่แว่นทรงไหนถึงจะสวย ฯลฯ เพราะประโยชน์ของแว่นตา นอกจากจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการมองเห็น และช่วยถนอมสายตาแล้ว แว่นตายังเป็นเหมือนเครื่องประดับบนใบหน้า ที่จะช่วยเสริมบุคคลิกและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

ถ้าหากคุณสนใจเรื่องไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันแบบนี้ เรามีบล็อกคอยเป็นเพื่อนคุณเสมอ

You may also like

Blog Business Lifestyle

บริหารเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังเกษียณ 

post-image

สำหรับใครที่กำลังเริ่มวางแผนปลดตัวเองออกจากงานประจำอยู่ หรือเข้าวัยที่ใกล้จะเกษียณ แต่ยังมองภาพไม่ออกว่าจะบริหารการเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังจากเกษียณโดยไม่ลำบาก และยังมีเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ลองทำตาม การบริหารเงินให้มีเงินใช้เมื่อต้องเกษียณอายุงาน แบบฉบับนักวางแผนการเงิน ที่เราได้นำมาฝากในบทความนี้กันดีกว่า รับรองว่า ทำได้ตามนี้มีเงินไว้ใช้ยามเกษียณแน่นอน  

1. แยกประเภท “รายจ่าย”  ก่อนจะต่อยอดเงิน

ในการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ย่อมมี รายจ่าย เป็นอุปสรรคใหญ่ของการเก็บออมเงิน มีทั้งแบบที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ ทำให้มีเงินไม่พอเก็บ หรือมัวแต่จ่ายจนลืมเก็บ เพราะไม่มีการจัดการบริหารการเงินใด ๆ แต่ถ้าต้องมีสภาพคล่องทางการเงินในชีวิตหลังเกษียณ การทำความเข้าใจในรายจ่ายแต่ละประเภท จัดเรียงความสำคัญ เพื่อที่จะได้วางแผนการเงินจึงมีความสำคัญ โดยประเภทรายจ่ายในการดำเนินชีวิต มีดังนี้ 

  • หนี้สิน รายจ่ายสำคัญข้อแรกที่ต้องให้ความสำคัญ และไม่ควรลืมที่จะหาทางการชำระหนี้ให้ถูกต้อง เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ เป็นต้น 
  • รายจ่ายทั่วไป คือ รายจ่ายที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าดูแลส่วนอื่น ๆ ภายในบ้าน 
  • รายจ่ายการดูแลสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ ถือว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ การวางแผนการเงินในส่วนนี้ จะช่วยให้สะดวกและลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลลงได้ เช่น การทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เป็นต้น 
  • รายจ่ายอื่น ๆ มักจะเป็นการจ่ายเพื่อเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในด้านการเข้าสังคม การซ่อมแซมบำรุงหรือตกแต่งที่อยู่อาศัย หรือค่าใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยว 

ต้องเก็บเงินเท่าไรจึงจะมีเงินใช้หลังเกษียณ

การคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ในการเก็บเงินใช้หลังเกษียณ สามารถคำนวณได้ดังนี้ 

ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ = รายจ่าย / ปี   x  80%  x จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ 

2. มองหาแหล่ง “รายได้” ประจำ 

หลังจากที่คำนวณรายจ่ายคร่าว ๆ ที่จะต้องมีไว้ใช้หลังเกษียณกันไปแล้ว จากนั้นเราก็มาคำนึงรายได้ในช่องทางต่าง ๆ เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

Blog Business Lifestyle

แหนแดงคืออะไร ใช้แหนแดงทดแทนปุ๋ยเคมีดีไหม 

post-image

กระแสแหนแดงมาแรงแซงทางโค้ง เนื่องจากปุ๋ยราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกษตรกรมีภาระหนักเกินกำลัง จึงต้องมีการมองหาตัวช่วยที่จะใช้ทดแทนปุ๋ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในส่วนของต้นทุนการผลิต ทำให้ แหนแดง เข้ามามีบทบาทสำคัญกับเกษตรกรและการเกษตรอย่างมีนัยยะ 

แหนแดงคืออะไร 

แหนแดง (Azolla spp.) เป็นพืชชนิดเฟิร์นน้ำขนาดเล็ก พบได้ในบริเวณน้ำนิ่งทั่วไป ในใบของแหนแดงมี Cyanobacteria หรือ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน อาศัยอยู่ จึงช่วยสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ ทำให้แหนแดงมีธาตุไนโตรเจนสูง เติบโตง่าย ปลอ่ยไนโตรเจนและธาตุอาหารพืชอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสลายตัวได้ง่าย เหมาะต่อการนำมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และ อาหารสัตว์ ทำให้มีการนำแหนแดงแห้งมาใช้เป็นแหล่งธาตุอาหารให้กับผัก โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ที่ช่วยบำรุงพืชผักในส่วนของใบและลำต้นได้เป็นอย่างดี 

ชาวนานิยมนำแหนแดงใช้ร่วมกับการปลูกข้าวเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด และช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าว ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการใช้ประโยชน์แหนแดงในนาข้าวเท่านั้น แต่เมื่อปุ๋ยมีราคาแพงมากขึ้น และมีกระแสส่งเสริมเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ด้วยคุณสมบัติของแหนแดงที่สามารถใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กรมวิชาการเกษตรได้นำประโยชน์ของแหนแดงมาใช้กับพืชอื่น ๆ จนกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่มีศักยภาพสูงและมีบทบาทสำคัญต่อระบบเกษตรพอเพียง เนื่องจากเป็นพืชที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการเกษตรครบวงจร

แหนแดงมีประโยชน์ด้านการเกษตรอย่างไร

  • ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ทำให้ลดการใช้เคมี ช่วยลดต้นทุน
  • เพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน 
  • ใช้ควบคุมวัชพืชในนาข้าว ลดการใช้เคมีกำจัดวัชพืช 
  • ใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืชผักและผลไม้อื่น ๆ ได้ 
  • ใช้แหนแดงร่วมกับปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ยเคมี ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10 -15% 
  • ใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด ปลา และ สุกร 
  • ต้นทุนการผลิตต่ำ

เนื่องจากแหนแดงเป็นพืชธรรมชาติ เลี้ยงและขยายพันธุ์ง่าย เติบโตไว ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตไว้ใช้เองได้ ใช้ต้นทุนการผลิตต่ำมาก โดยเอกสารทางกรมวิชาการเกษตรได้ระบุไว้ว่า เมื่อหว่านแหนแดงในนา 1 ไร่ จะได้ผลผลิตแหนแดงประมาณ 3,000 กิโลกรัม หรือประมาณ 3 ตัน ซี่งเทียบได้กับปุ๋ยยูเรียประมาณ…

Read More
Blog Business Lifestyle

ใส่ซองงานแต่งยังไงไม่ให้เกิดดราม่า 

post-image

ใครที่กำลังเครียดเพราะถูกเชิญไปงานแต่อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งของญาติ งานแต่งเพื่อนสนิท งานแต่งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่งานแต่งเจ้านาย เพราะไม่รู้ว่าจะใส่ซองงานแต่งเท่าไรจึงเหมาะกับฐานะเจ้าของงาน จะใส่มากแต่รายได้ตนเองก็แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง หากใส่เงินน้อยก็ห่วงจะมีดรามาตามมา กลัวเพื่อนเลิกคบ โดนนินทา เป็นที่เม้าท์มอยสารพัด อันเป็นผลพวงมาจากจำนวนเงินใส่ซองงานแต่ง คิดแล้วทำให้อยากรู้ว่าใครกันนะเป็นผู้บัญญัติประเพณีการใส่ซองงานแต่งนี้ขึ้นมา ทำไมต้องมีการใส่ซองงานแต่ง ทำไมสังคมต้องตัดสินให้คนใส่เงินในซองน้อยกลายเป็นคนผิด และใส่ซองงานแต่งยังไงจึงจะเหมาะสม โดยไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนในภายหลัง 

ใส่ซองตามกำลังทรัพย์ที่มี โดยยึดรายได้ของตัวเองเป็นหลัก 

เมื่อได้รับเชิญงานแต่งที่ต้องมีการใส่ซอง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในอันดับแรกเมื่อจะทำการใส่ซอง คือ คำนึงถึงรายได้ของตนเองก่อน สำหรับใครที่มีทักษะบริหารการเงิน จะมีการแบ่งเงินในส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจน อาจมีการแพลนค่าไปร่วมงานต่าง ๆ ไว้ เช่น ยอดเงินที่จะใส่ซองร่วมงานต่าง ๆ เพื่อไม่เป็นการสร้างความลำบากให้ตนเองในภายหลัง เคยเจอคำถามว่าใส่ซองงานแต่ง 400 ได้ไหม เพราะว่างงาน หรือมีรายได้น้อย ก็ได้มีผู้แนะนำว่าการใส่ซองงานแต่งที่ดีต่อทั้งตนเองและเจ้าภาพ คือ ไม่ควรใส่ซองเกิน 5% ของรายได้ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท ไม่ควรใส่เงินเกิน 1,000 บาท แต่จะใส่เท่าไรในระหว่างจำนวนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่นำมาประกอบในการตัดสินใจต่อไป 

ใส่ตามระดับความสนิทกับเจ้าภาพ

ปัจจัยหลัก ๆ ของจำนวนเงินที่ใส่ซองงานแต่งมักจะขึ้นอยู่กับความสนิทต่อเจ้าภาพเป็นส่วนใหญ่ หากเป็นการใส่ซองงานแต่งเพื่อนสนิท หรือ ญาติพี่น้อง อาจใส่จำนวนเงินมากกว่างานแต่งของคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเงินในซองถือเป็นสินน้ำใจแสดงความยินดี และช่วยเป็นทุนสนับสนุนในการสร้างครอบครัวใหม่ของคนที่เรารักหรือมีความใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งสนิทมาก รักมาก ยิ่งต้องแสดงความรักและซัพพอร์ทเต็มที่ อาจใส่ซองงานแต่ง 4000 หรือ น้อยกว่า – มากกว่า เท่าที่กำลังทรัพย์เราไหว ส่วนเจ้าภาพที่ไม่ได้สนิทเท่าไร อาจเป็นเพียงคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน อาจใส่น้อยกว่า 1000 บาท ตราบใดที่ไม่เกิน 5% ของรายได้ที่เรามี

ไปร่วมงานแต่งด้วยหรือไม่ 

กรณีใส่ซองงานแต่งไม่ได้ไปร่วมงาน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม หากจำนวนใส่ซองจะน้อยกว่าปกติสักเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดอะไร แต่ถ้าเป็นงานของคนสนิท ญาติมิตร ไม่ควรลดจำนวนเงินใส่ซองให้น้อยลง แต่ควรใส่ซองตามจำนวนปกติหรืออาจมากกว่าเดิม  

Read More
Lifestyle Politics Travel

ระวัง! ถ้าไม่อยากติดคุก ห้ามพูดคำเหล่านี้เด็ดขาดเมื่ออยู่สนามบิน 

post-image

เชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์โดยสารเครื่องบินในการเดินทาง ย่อมต้องรู้กฏเกณณ์ห้ามพกพาสิ่งใด หรือห้ามพกวัตถุใดขึ้นเครื่องบิน รวมไปถึง คำต้องห้าม ที่ห้ามพูดเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยในเจตนาหยอกล้อ หรือพูดเพื่อเป็นมุขตลกก็ตาม เพราะสนามบินคือสถานที่รวมกันของผู้คนหลายเชื้อชาติและจากหลายประเทศ จึงต้องมีการเข้มงวดในด้านการรักษาความปลอดภัยสูง 

ทำไมจึงต้องมีคำต้องห้ามใช้ในสนามบิน 

เนื่องจากบางคำนั้นอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความตื่นตระหนก โกลาหล และอาจทำให้เกิดเหตุวุ่นวายจนยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้เกิดความสงบได้ ก่อให้เกิดความเสียหาย และเสียเวลาแก่คนจำนวนมาก เพราะอาจต้องมีการตรวจค้น สอบสวน ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนด เป็นเหตุให้ผู้โดยสารท่านอื่นพลาดการเดินทางตามกำหนดจนอาจเกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาล

คำต้องห้ามในสนามบินมีอะไรบ้าง 

คำต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นการอ่านหนังสือ หรือพูดกับเพื่อน ก็ห้ามพูดหรือออกเสียงออกมาเด็ดขาด 

  • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
    • ระเบิด (Bomb , Explosive) เช่น พูดว่า มีระเบิด จะระเบิดสนามบิน เปิดกระเป๋าระวังเจอระเบิด ปาระเบิด เป็นต้น 
    • อาวุธ มีด ปืน  (Gun) เช่น มีปืนกี่กระบอก พกมีดติดตัวมาด้วย 
    • โรคระบาดร้ายแรง เช่น พูดว่า ติดโควิด ป่วยเป็นอีโบล่า 
    • วัตถุอันตราย เช่น ไซยาไนด์หาซื้อได้ที่ไหน 
    • จี้เครื่องบิน ปล้นเครื่องบิน (Hijack) เช่น พูดว่า หยุดนะนี่คือการปล้น จะปล้นให้หมด จะจี้เครื่องบิน หรือ hijack เป็นต้น 
    • การก่อการร้าย (Terrorist Attack) เช่น พูดว่า จะมีการก่อการร้าย นี่คือการก่อการร้าย 
    • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
  • Read More
    Business

    รวมกองทุนปันผลที่น่าสนใจ กองทุนตัวไหนน่าจะเหมาะกับเรา

    post-image

    ใครที่เริ่มสนใจหรือมองหาการลงทุนเพื่ออนาคต แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนกับกองทุนไหนดี เพราะไม่เคยทำมาก่อน เราจะมาพาทำความรู้จักกับกองทุนปันผลในตลาดหุ้นหรือธีมที่นับว่าแข็งแกร่ง น่าสนใจที่จะลงทุน โดยจะเลือกลงทุนรายตัวหรือจัดเป็นพอร์ตให้กระจายตัวดี 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร

    ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าระหว่าง หุ้นปันผลคืออะไร และกองทุนปันผลคืออะไร จะได้รู้ว่าเหมือนหรือต่างกัน  หุ้นปันผล เป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่นักลงทุนต้องการจะมีเก็บไว้อยู่ในพอร์ตลงทุน เพื่อให้ได้เงินปันผลส่วนนี้เป็นรายได้เสริม หรืออาจกลายเป็นรายได้หลักหลังจากที่เกษียณไปแล้ว แต่บางคนอาจต้องการมีหุ้นปันผลเพื่อลดความเสี่ยง ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน หรือจะทำพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ กองทุนปันผล คือ กองทุนที่นำกำไรที่ได้จากการลงทุนมาแจกจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนนั่นเอง โดยปัจจุบันบริษัทจะนิยมจ่ายเงินปันผล 2 แบบ ด้วยกัน คือ 

    1. จ่ายเป็นเงินสด หรือ Cash Dividend คือรูปแบบที่บริษัทส่วนใหญ่นิยมกันมาก โดยมีเงินปันผลที่ได้มาจากกำไรสะสมของบริษัท โดยจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานปกติ ข้อดี คือ นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล โดยที่การลงทุนจะยังดำเนินต่อไป ส่วนข้อเสีย คือ เงินปันผลที่ได้อาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก เนื่องจากมีการหักภาษีเงินปันผล 10% 

    2. จ่ายเป็นหุ้น หรือ Equity Stock Dividend คือ การเพิ่มทุนเป็นหุ้นสามัญ แล้วจึงจะนำมาจ่ายปันผล โดยกำหนดจ่ายตามอัตราส่วนที่กำหนด เช่น จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นปันผลในอัตราส่วน 10 : 1 คือ ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับหุ้นปันผล 1 หุ้น ในทุก ๆ หุ้นเดิมที่ถืออยู่จำนวน 10 หุ้น หากถือหุ้นสามัญ 1,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 100 หุ้น และถ้าถือหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 1,000 หุ้น เป็นต้น 

    โดยปกติหุ้นปันผลจะมีอัตราเงินปันผลหรือ Dividend Yield โดยคำนวณมาจากเงินปันผลต่อหุ้น / ราคา แต่ในส่วนกองทุนปันผลจะบอกเพียงกองทุนปันผลคิดเป็นกี่บาท / หน่วย ในแต่ละครั้ง ทำให้นักลงทุนไม่สามารถรู้ได้ว่า Dividend เป็นเท่าไร 

    แล้วจะรู้ Dividend Yield ได้อย่างไร ? 

    วิธีการคาดการ Dividend Yield คือ นำส่วนปันผลรวมย้อนหลัง (…

    Read More
    Business Lifestyle

    อัพเดท 7 เทรนด์สีปี 2023 สีไหนมาแรง แต่งบ้านรับปีเถาะกันเถอะ 

    post-image

    สำหรับคนรักบ้าน รักการตกแต่งบ้าน วันนี้เรามาจะอัพเดทเทรนด์สีปี 2023 ซึ่งสีเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมจากเทรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก และทางนิตยสาร Creative Thailand ได้รวบรวมจัดทำขึ้นทุกปี เพื่อส่งเสริมและผลักดันเศรษฐกิจไทย ภายใต้ CEA หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) 

    เราจึงได้นำมาอัพเดทเพื่อเป็นแนวไอเดียให้ใครที่กำลังต้องการจะจัดแต่งบ้านต้อนรับปีใหม่ ซึ่งตรงกับ ปีเถาะ หรือ ปีกระต่าย และเทรนด์สีเหล่านี้ ยังเหมาะต่อการไปใช้กับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงใช้เพื่อสื่อโฆษณาสินค้า การบริการ และงาน Events ต่าง ๆ อีกด้วย มีสีอะไรให้เพื่อน ๆ ได้นำไปใช้เสริมสร้างความปังและทันสมัยกันบ้าง ตามมาเลยค่ะ 

    Elfin Yellow : สีเหลืองอ่อน – ครีม 

    สีเหลืองอ่อนไปจนถึงเกือบออกสีครีม โทนสีที่บ่งบอกถึงความเป็น Minimalism ที่ยังคงได้รับความนิยมในการตกแต่งบ้านเสมอมา เพราะให้ความรู้สึกเรียบง่าย อบอุ่น อ่อนโยน สบายตา นอกจากนี้ โทนสีเหลืองอ่อนยังเป็นสีแห่งการรีเซ็ต การเริ่มหรือสร้างสิ่งใหม่ ๆ และยังเป็นสื่อถึงการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง 

    การตกแต่งบ้านด้วยสีหลักอย่างโทนสีเหลืองอ่อนจะให้สไตล์บ้านมินิมอล แต่ถ้าต้องการเติมความสดใส และความมีชีวิตชีวาให้กับบ้าน อาจใช้เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์สีเหลือง ควบคู่ไปกับสีหลักของบ้านด้วยโทนสีเรียบ ๆ แทน ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในช่วงซัมเมอร์สดใส 

    Lime Green : สีเขียวมะนาว 

    โดยปกติ สีเขียว มักจะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม และมักจะเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ บ้าน และ สำนักงาน เพราะจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบ แต่สำหรับเทรนด์สีปี 2566 ที่ต้องการเพิ่มความล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้เฉดสีเขียวมะนาวเป็นสีที่จะมาแรงแซงทางโค้งอีกสีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสีเขียวมะนาวจะสื่อถึงความสดใสและมีชีวิตชีวาของคนยุค Gen Z ได้เป็นอย่างดี จึงถูกนำมาใช้บนโลกดิจิทัลมากขึ้น 

    แม้ว่าสีเขียวมะนาวจะดูสดและจัดจ้านจนอาจไม่ไหวสำหรับการทาสีผนังบ้าน แต่สามารถนำมาใช้กับของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเพิ่มความสดใสและความโดดเด่นให้กับบ้านมากขึ้น หรือจะลดเฉดลงอีกหน่อยด้วยสีเขียวแอปเปิลก็นับว่าเก๋กู๊ดเลยทีเดียว 

    Blog Business Lifestyle Politics

    วิธีเช็คเบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพโทรหาเรา หรือใครโทรมากันแน่ 

    post-image

    ฮัลโหลวว! นั่นใครโทรมา มิจฉาชีพหรือเปล่าคะ? แต่คงไม่มีมิจฉาชีพคนไหนยอมรับแน่นอน แล้วเราจะมีวิธีไหนเช็คเบอร์ใครโทรมา หรือส่ง SMS พร้อมแนบลิงก์ที่ถ้าเผลอไปกด โดนดูดเงินสูญหมดบัญชี เราจึงต้องมีวิธีป้องกันโดนมิจฉาชีพหลอก ยิ่งช่วงนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาด แถมตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้ เป็นปัญหาสังคมและมีผู้เสียหายไปแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อเราพึ่งใครไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตนเองก่อนในเบื้องต้น ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ 

    Google 

    เมื่อมีเบอร์แปลก ๆ โทรมาหา ไม่ว่าจะก่อนรับสายหรือหลังสายไปแล้ว แต่อยากรู้ว่าใช่เป็นเบอร์มิจฉาชีพหลอกโทรหาเราหรือไม่ ให้นำเบอร์นั้นไปค้นหากับเว็บไซต์กูเกิล หากเป็นหมายเลของมิจฉาชีพที่มีประวัติหลอกลวง เราจะพบข้อมูลที่ผู้เสียหายได้โพสเตือนภัยผ่านบนเว็บไซต์ 

    Facebook 

    เฟซบุคเป็นอีกช่องทางที่สามารถค้นหาเบอร์โทรศัพท์ได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลก ๆ ที่ได้โทรหาเราไปใส่ช่องค้นหา (search) หากเป็นเบอร์ที่เคยมีประวัติหลอกลวง เราจะสามารถพบตามกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มขายของ กลุ่มเตือนภัย ฯลฯ มีผู้เสียหายได้โพสข้อความเตือนภัย พร้อมระบุหมายเลขโทรศัพท์  

    Line 

    อีกช่องทางโซเชียลมีเดียที่ใช้สืบหาเบอร์มิจฉาชีพได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลกที่โทรหาเราไปใส่ในช่องเพิ่มเพื่อน (Add Friend) ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะสามารถค้นหาเจอได้เฉพาะที่หมายเลขลงทะเบียนไลน์เท่านั้น หากแอดด้วยเบอร์โทรฯ แล้ว ไม่พบเจอเป็นผู้ใช้แอปไลน์ปกติทั่วไป ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นมิจฉาชีพ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ 

    Whoscall 

    Whoscall คือ แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมฐานข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ไว้เป็นพันล้านเบอร์ โดยมีผู้โหลดใช้แอป whoscall แล้วมากกว่า 70 ล้านครั้ง โดยแอปฯ นี้ จะมีการระบุหมายเลขโทรศัทพ์ของหน่วยงานต่าง ๆ เบอร์ขายสินเชื่อ เบอร์ขายประกัน รวมไปถึงเบอร์มิจฉาชีพ เมื่อไรที่เบอร์เหล่านี้โทรมา แอปฯ จะดึงข้อมูลมาแจ้งเตือนบนหน้าจอมือถือของเราทันที ทำให้เราสามารถเลือกที่จะรับสายหรือไม่ก็ได้  หรือทำการบล็อกเบอร์นั้นไปเลย ยิ่งไปกว่านั้น whoscall มีฟังก์ชันให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ว่าเป็นใคร เช่น เบอร์ขนส่ง เบอร์มิจฉาชีพ เป็นต้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Whoscall…

    Read More
    Lifestyle Travel

    ชี้พิกัด 7 บ้านกระจกสวย ที่น่าไปเช็คอินสักครั้งในชีวิต

    post-image

    วันหยุดยาวทั้งทีหาที่เที่ยวฮีลใจกันดีกว่า มัดรวมพิกัด ที่เที่ยว บ้านกระจกใส วิวสวย นอนมองฟิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรมากั้นระหว่างเรา ให้ฟีลเหมือนเที่ยวต่างประเทศ มีที่ไหนบ้างไปดูกัน แล้วจัดกระเป๋ากันเล๊ยยย! 

    Kissing Stars Glamping  (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    kissing stars glamping บ้านแม่ลาย เชียงใหม่


    เริ่มจากภาคเหนือของไทยกันก่อนเลย บ้านทรงกล่องสี่เหลี่ยมบนเนินเขา ติดกระจกใสมองเห็นวิวด้านนอก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนธรรมชาติโอบอุ้ม ด้านในกว้างขวาง นอนแช่อ่างดูดาวดาวเพลิน ๆ ยิ่งถ้าไปช่วงหน้าหนาว บรรยากาศดีได้ฟีลเหมือนอยู่เมืองนอกยังไงยังงั้นเลย หรือไปช่วงหน้าฝน ก็ให้ความโรแมนติกไปอีกแบบ 

    2. Morning Star Glamping เฟส 1 (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    morning star phase 1


    บ้านกระจกใสกลางป่า ที่มาแล้วจะรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ฟินแลนด์ สไตล์การตกแต่งแบบอบอุ่น เน้นความเรียบง่าย เสมือนเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่จริง มีลำธารหน้าบ้าน หรือจะเลือกนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างชมวิวเพลิน ๆ ก็ฟีลดีทั้งคู่ มีทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ติดแอร์เย็นฉ่ำ ไม่ต้องกังวลแม้จะมาในช่วงที่แดดเปรี้ยง 

    3. Morning Star Glamping เฟส 2  (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    morning star phase 2


    ต่อด้วย พูลวิลล่า ริมลำธาร เฟส 2 บ้านกระจกใสทรงเอที่ให้ฟีลเมืองนอกสุด ๆ มีห้องนอนและน้องนั่งเล่นแยกกันภายในบ้านมีห้องน้ำ 2 ห้อง สามารถเข้าพักได้ 2-4 คน มีทั้งอ่างในห้องและสระน้ำอุ่น outdoor แช่น้ำอุ่น ดูดาว รับลมหนาวริมลำธาร ถ้าจะบรรยากาศดีขนาดนี้ ต้องไปให้ได้สักครั้งแล้วล่ะ 

    4. หลงเขาแคมป์ ภูทับเบิก (ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์)