Uncategorized

ยาเม็ดสีแดงแจกฟรีหลังบริจาคเลือดคืออะไร และควรกินอย่างไร

สำหรับใครที่มักจะไปบริจาคเลือด ย่อมคุ้นเคยกับยาเม็ดสีแดง ๆ ที่แจกฟรีจากสภากาชาดไทย หรือศูนย์รับบริจาคเลือด ให้นำกลับมารับประทาน ซึ่งเจ้าเม็ดยาสีแดง ๆ ที่ได้ฟรีมานี้คือยาอะไร จำเป็นต้องทานหรือไม่ วันนี้แอดมินจะมาไขข้อสงสัยให้กับผู้ที่เพิ่งเข้าวงการบริจาคเลือดมือใหม่ ถึงในเรื่องของยาแจกฟรีหลังบริจาคเลือด ว่าจำเป็นต้องกินหรือไม่ กินตอนไหน และกินอย่างไร 

รู้ไหมว่าซองบรรจุยาเม็ดสีแดงที่ได้รับหลังการบริจาคเลือดกับสภากาชาดไทย คือ ยาเสริมธาตุเหล็ก แบบวิตามินรวม ซึ่งประกอบไปด้วย เฟอร์รัสฟิวมาเรต (Ferrous Fumarate) 200 มิลลิกรัม , วิตามิน B1 , วิตามิน B2 , วิตามิน C และ เกลือแร่ รวมอยู่ในเม็ดเดียวกัน เพื่อให้ช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูดซึม และกระตุ้นในการสร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นในร่างกาย เพื่อทดแทนที่สูญเสียไปจากการบริจาคเลือดนั่นเอง 

ยาเสริมธาตุเหล็กช่วยเรื่องอะไร จำเป็นต้องกินไหม 

การบริจาคเลือดในแต่ละครั้ง ผู้บริจาคจะเสียธาตุเหล็กไปประมาณ 350 – 500 มิลลิลิตร ซึ่งในปริมาณเท่านี้อาจไม่ถึงกับทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ แต่ร่างกายควรได้รับธาตุเหล็กชดเชยเพื่อไม่ให้ร่างกายตกอยู่ในภาวะอ่อนแอ หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการโลหิตจาง หรือมีภาวะซีดได้ง่ายกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีการสูญเสียเลือดในรูปแบบของประจำเดือนอีกด้วย ดังนั้น นอกจากจะควรกินยาบำรุงเลือดแล้ว ผู้บริจาคเลือดควรทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงด้วย เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง อาหารทะเล ผักใบเขียว และ ธัญพืชต่าง ๆ เป็นต้น 

ยาบำรุงเลือดเม็ดสีแดงกับยาบำรุงเลือดเม็ดสีเหลืองเหมือนหรือแตกต่างกัน 

ยาบำรุงเลือดเม็ดสีแดง ประกอบไปด้วยเฟอร์รัสฟิวมาเรต วิตามิน B1 , วิตามิน B2 , วิตามิน C และ เกลือแร่ อยู่ในเม็ดเดียวกัน ในขณะที่ยาบำรุงเลือดเม็ดสีเหลือง คือ กรดโฟลิก หรือ โฟเลต (เม็ดสีเหลือง กลม ๆ ผิวด้าน) ซึ่งเป็นคนละตัวยากัน ส่วนยาเม็ดสีเหลืองที่ลักษณะมันวาวเคลือบน้ำตาล คือ วิตามินบีรวม ไม่ใช่ยาบำรุงเลือด โดยในวิตามินบีรวม 1 เม็ด จะประกอบไปด้วย วิตามินบี 1, วิตามินบี 2 , วิตามินบี 3 , วิตามินบี 5 , วิตามินบี 6 , วิตามินบี 7 , วิตามินบี 9 , และ วิตามินบี 12 ซึ่งไม่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็กตามที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นวิตามินรวมที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง โดยการจ่ายยาจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ซึ่งอาจจ่ายยาตัวใดตัวหนึ่ง หรือจ่ายให้ควบคู่กันเลย ตามอาการหรือโรคประจำตัวที่มี

ยาบำรุงเลือดกินตอนไหน 

การกินยาบำรุงเลือดให้ได้ผลดี ควรกินเมื่อท้องว่าง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การกินยาบํารุงเลือดหลังบริจาคเลือด ผลข้างเคียงอาจมีบ้างในบางราย เช่น รู้สึกไม่สบายท้อง ท้องอืด รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร สมองช้า หรือมีอาการหลงลืม เป็นต้น ดังนั้น เภสัชกรจึงมักจะแนะนำให้ทานยาบำรุงหลังมื้ออาหารทันที หรืออาจกินบำรุงเลือดก่อนนอน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังกล่าว โดยเฉพาะผู้บริจาคเลือดที่มีโรคประจำตัว ที่ต้องกินยาหลายชนิดร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการทานยาพร้อมกันมากเกินไป 

ยาบำรุงเลือดกินวันละกี่เม็ด 

ควรกินยาบำรุงเลือดเท่าไรจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการกิน เช่น กินยาบำรุงเลือดเพื่อเสริมธาตุเหล็กหลังการบริจาคเลือด หรือกินยำรุงเลือดในผู้ป่วยโรคหิตจาง เป็นต้น โดยปริมาณยาบำรุงเลือดที่กิน มีตั้งแต่กินเพียงวันละ 1 เม็ด หรือ กิน 3 มื้อ ๆ ละ 1 เม็ด เป็นต้น โดยแพทย์ที่สั่งจ่ายยาจะระบุไว้ให้ และควรกินตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด 

ข้อควรระวังในการทานยาบำรุงเลือด 

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาบำรุงเลือดในผู้ป่วยโรค Hemachromatosis หรือ ฮีมาโครมาโทซิส เพราะอาจได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปจนทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย 
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาลีโวไทโรซีน (Levothyroxine) ภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากกินยาบำรุงเลือด 
  • ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกร หากมียาอื่น ๆ ที่กำลังใช้อยู่ เพื่อไม่ให้ตัวยาตีกัน หรือเกิดปฏิกิริยาต้านกัน จนอาจไปทำให้ลดระดับธาตุเหล็กในร่างกายได้ 
  • ไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดกินเอง แต่ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนซื้อและใช้ยาทุกครั้ง 
  • ยาบำรุงเลือดมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็อาจเกิดโทษได้ หากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี เพราะมีข้อจำกัดคนที่ไม่ควรกิน หรือจะต้องใช้ความระมัดระวังในการกินยาบำรุงเลือด เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร หรือผู้ป่วยโรคบางชนิด ซึ่งจะต้องปรึกษาและสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาก่อนเสมอ

You may also like

Blog Business Health Lifestyle

สัญลักษณ์วันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง พร้อมความหมายของตกแต่งคริสต์มาส และธีมสีคริสต์มาส

post-image

เมื่อพูดถึงวันคริสต์มาส สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึง มักจะเป็นลุงหน้าตาใจดี มีหนวดเคราสีขาว และสวมชุดสีแดง ชอบมาแจกของขวัญคริสต์มาสให้กับเด็ก ๆ และผู้คน ใช่แล้ว “ซานตาครอส” นั่นเอง และสัญลักษณ์วันคริสต์มาสอีกสิ่งที่จะขาดไม่ได้ คือ “ต้นคริสต์มาส” หรือ ต้นสนที่ถูกประดับด้วยของตกแต่งต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญ และเป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่า เทศกาลแห่งความสุขใกลเข้ามาแล้ว ดังนั้น เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้ Homedecorily จะมาชวนทุกคนแต่งบ้านด้วยสิ่งของวันคริสต์มาส พร้อมกับประวัติที่มาที่ไป ทำไมจึงนิยมนำมาใช้เป็นของตกแต่ง จนกลายเป็นสัญลักษณ์เทศกาลคริสต์มาส

สัญลักษณ์วันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง

1. ต้นคริสต์มาส (Christmas Tree)

ต้นคริสต์มาส เปรียบเสมือนเป็น ต้นไม้แห่งชีวิต หรือ ต้นไม้ในสวนสวรรค์ของพระเจ้า เนื่องจากเป็นต้นไม้มีสีเขียวขจีตลอดปี อีกทั้งในคำภีร์ไบเบิล (ยอห์น 15:5) ได้กล่าวไว้ว่า พระเยซู เปรียบเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต คอยเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ผู้คนท่ามกลางความมืด เป็นศูนย์รวมจิตใจ หล่อหลอมให้ผู้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้น ต้นคริสต์มาส เป็นสัญลักษณ์ของศูนย์รวมคนในครอบครัวช่วงวันคริสต์มาส เมื่อใกล้เข้าสู่เดือนธันวาคม ผู้คนจะเริ่มดีไซน์และตกแต่งต้นคริสต์มาส เพื่อต้อนรับและเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขพร้อมกับครอบครัวหรือคนที่รัก โดยแต่ละบ้านและสถานที่ต่าง ๆ จะมีการประดับด้วยของตกแต่งสัญลักษณ์วันคริสต์มาสที่มีความหมายแตกต่างกันไป

สำหรับที่มาของต้นคริสต์มาส เริ่มจากมิชชันนารีชาวอังกฤษ เซนต์บอนิเฟส ที่เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในเยอรมนี ได้ทำการช่วยเหลือเด็กถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย และกำลังจะถูกฆ่าใต้ต้นโอ๊ก หลังจากช่วยเหลือเด็กได้ และมีการโค่นต้นโอ๊กทิ้ง ปรากฏ ต้นสนเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ขึ้นอยู่ที่โค้นต้นโอ๊ก มิชชันนารีจึงเปรียบต้นสนเสมือนว่าเป็นต้นไม้แห่งชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ จนกระทั่ง เดือนธันวาคม ค.ศ.1540 มาร์ติน ลูเธอร์ ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ได้เห็นแสงจันทร์ส่องลอดผ่านต้นสน มีความสวยงามน่าอัศจรรย์ จึงได้ตัดต้นสนไปตั้งไว้ในบ้าน และตกแต่งด้วยแสงเทียน จนมีผู้คนนำไปทำตามทั่วเยอรมนี กระทั่งเริ่มแพร่หลายในประเทศอังกฤษและทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนเหตุผลที่ใช้ต้นสนทำเป็นต้นคริสต์มาส เพราะหาง่าย โดยเฉพาะในประเทศโซนยุโรป

2. พวงมาลัยคริสต์มาส (The Christmas Wreath)

พวงมาลัยคริสต์มาส หรือ The Christmas Wreath คือ สัญลักษณ์ของมงกุฏหนามบนศีรษะพระเยซู เมื่อครั้งถูกนำไปตรึงบนกางเขน ซึ่งชาวคริสต์เชื่อกันว่า มงกุฏของเยซูจะช่วยลดทอนพลังชั่วร้าย ปกป้องทุกคนในบ้านให้ปลอดภัยจากปีศาจร้ายได้ จึงนิยมนำ The Christmas Wreath แขวนไว้หน้าประตูบ้าน…

Read More
Blog Business Lifestyle

บริหารเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังเกษียณ 

post-image

สำหรับใครที่กำลังเริ่มวางแผนปลดตัวเองออกจากงานประจำอยู่ หรือเข้าวัยที่ใกล้จะเกษียณ แต่ยังมองภาพไม่ออกว่าจะบริหารการเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังจากเกษียณโดยไม่ลำบาก และยังมีเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ลองทำตาม การบริหารเงินให้มีเงินใช้เมื่อต้องเกษียณอายุงาน แบบฉบับนักวางแผนการเงิน ที่เราได้นำมาฝากในบทความนี้กันดีกว่า รับรองว่า ทำได้ตามนี้มีเงินไว้ใช้ยามเกษียณแน่นอน  

1. แยกประเภท “รายจ่าย”  ก่อนจะต่อยอดเงิน

ในการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ย่อมมี รายจ่าย เป็นอุปสรรคใหญ่ของการเก็บออมเงิน มีทั้งแบบที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ ทำให้มีเงินไม่พอเก็บ หรือมัวแต่จ่ายจนลืมเก็บ เพราะไม่มีการจัดการบริหารการเงินใด ๆ แต่ถ้าต้องมีสภาพคล่องทางการเงินในชีวิตหลังเกษียณ การทำความเข้าใจในรายจ่ายแต่ละประเภท จัดเรียงความสำคัญ เพื่อที่จะได้วางแผนการเงินจึงมีความสำคัญ โดยประเภทรายจ่ายในการดำเนินชีวิต มีดังนี้ 

  • หนี้สิน รายจ่ายสำคัญข้อแรกที่ต้องให้ความสำคัญ และไม่ควรลืมที่จะหาทางการชำระหนี้ให้ถูกต้อง เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ เป็นต้น 
  • รายจ่ายทั่วไป คือ รายจ่ายที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าดูแลส่วนอื่น ๆ ภายในบ้าน 
  • รายจ่ายการดูแลสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ ถือว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ การวางแผนการเงินในส่วนนี้ จะช่วยให้สะดวกและลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลลงได้ เช่น การทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เป็นต้น 
  • รายจ่ายอื่น ๆ มักจะเป็นการจ่ายเพื่อเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในด้านการเข้าสังคม การซ่อมแซมบำรุงหรือตกแต่งที่อยู่อาศัย หรือค่าใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยว 

ต้องเก็บเงินเท่าไรจึงจะมีเงินใช้หลังเกษียณ

การคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ในการเก็บเงินใช้หลังเกษียณ สามารถคำนวณได้ดังนี้ 

ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ = รายจ่าย / ปี   x  80%  x จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ 

2. มองหาแหล่ง “รายได้” ประจำ 

หลังจากที่คำนวณรายจ่ายคร่าว ๆ ที่จะต้องมีไว้ใช้หลังเกษียณกันไปแล้ว จากนั้นเราก็มาคำนึงรายได้ในช่องทางต่าง ๆ เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

Blog Business Lifestyle

แหนแดงคืออะไร ใช้แหนแดงทดแทนปุ๋ยเคมีดีไหม 

post-image

กระแสแหนแดงมาแรงแซงทางโค้ง เนื่องจากปุ๋ยราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกษตรกรมีภาระหนักเกินกำลัง จึงต้องมีการมองหาตัวช่วยที่จะใช้ทดแทนปุ๋ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในส่วนของต้นทุนการผลิต ทำให้ แหนแดง เข้ามามีบทบาทสำคัญกับเกษตรกรและการเกษตรอย่างมีนัยยะ 

แหนแดงคืออะไร 

แหนแดง (Azolla spp.) เป็นพืชชนิดเฟิร์นน้ำขนาดเล็ก พบได้ในบริเวณน้ำนิ่งทั่วไป ในใบของแหนแดงมี Cyanobacteria หรือ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน อาศัยอยู่ จึงช่วยสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ ทำให้แหนแดงมีธาตุไนโตรเจนสูง เติบโตง่าย ปลอ่ยไนโตรเจนและธาตุอาหารพืชอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสลายตัวได้ง่าย เหมาะต่อการนำมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และ อาหารสัตว์ ทำให้มีการนำแหนแดงแห้งมาใช้เป็นแหล่งธาตุอาหารให้กับผัก โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ที่ช่วยบำรุงพืชผักในส่วนของใบและลำต้นได้เป็นอย่างดี 

ชาวนานิยมนำแหนแดงใช้ร่วมกับการปลูกข้าวเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด และช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าว ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการใช้ประโยชน์แหนแดงในนาข้าวเท่านั้น แต่เมื่อปุ๋ยมีราคาแพงมากขึ้น และมีกระแสส่งเสริมเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ด้วยคุณสมบัติของแหนแดงที่สามารถใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กรมวิชาการเกษตรได้นำประโยชน์ของแหนแดงมาใช้กับพืชอื่น ๆ จนกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่มีศักยภาพสูงและมีบทบาทสำคัญต่อระบบเกษตรพอเพียง เนื่องจากเป็นพืชที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการเกษตรครบวงจร

แหนแดงมีประโยชน์ด้านการเกษตรอย่างไร

  • ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ทำให้ลดการใช้เคมี ช่วยลดต้นทุน
  • เพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน 
  • ใช้ควบคุมวัชพืชในนาข้าว ลดการใช้เคมีกำจัดวัชพืช 
  • ใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืชผักและผลไม้อื่น ๆ ได้ 
  • ใช้แหนแดงร่วมกับปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ยเคมี ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10 -15% 
  • ใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด ปลา และ สุกร 
  • ต้นทุนการผลิตต่ำ

เนื่องจากแหนแดงเป็นพืชธรรมชาติ เลี้ยงและขยายพันธุ์ง่าย เติบโตไว ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตไว้ใช้เองได้ ใช้ต้นทุนการผลิตต่ำมาก โดยเอกสารทางกรมวิชาการเกษตรได้ระบุไว้ว่า เมื่อหว่านแหนแดงในนา 1 ไร่ จะได้ผลผลิตแหนแดงประมาณ 3,000 กิโลกรัม หรือประมาณ 3 ตัน ซี่งเทียบได้กับปุ๋ยยูเรียประมาณ…

Read More
Blog Business Lifestyle

ใส่ซองงานแต่งยังไงไม่ให้เกิดดราม่า 

post-image

ใครที่กำลังเครียดเพราะถูกเชิญไปงานแต่อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งของญาติ งานแต่งเพื่อนสนิท งานแต่งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่งานแต่งเจ้านาย เพราะไม่รู้ว่าจะใส่ซองงานแต่งเท่าไรจึงเหมาะกับฐานะเจ้าของงาน จะใส่มากแต่รายได้ตนเองก็แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง หากใส่เงินน้อยก็ห่วงจะมีดรามาตามมา กลัวเพื่อนเลิกคบ โดนนินทา เป็นที่เม้าท์มอยสารพัด อันเป็นผลพวงมาจากจำนวนเงินใส่ซองงานแต่ง คิดแล้วทำให้อยากรู้ว่าใครกันนะเป็นผู้บัญญัติประเพณีการใส่ซองงานแต่งนี้ขึ้นมา ทำไมต้องมีการใส่ซองงานแต่ง ทำไมสังคมต้องตัดสินให้คนใส่เงินในซองน้อยกลายเป็นคนผิด และใส่ซองงานแต่งยังไงจึงจะเหมาะสม โดยไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนในภายหลัง 

ใส่ซองตามกำลังทรัพย์ที่มี โดยยึดรายได้ของตัวเองเป็นหลัก 

เมื่อได้รับเชิญงานแต่งที่ต้องมีการใส่ซอง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในอันดับแรกเมื่อจะทำการใส่ซอง คือ คำนึงถึงรายได้ของตนเองก่อน สำหรับใครที่มีทักษะบริหารการเงิน จะมีการแบ่งเงินในส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจน อาจมีการแพลนค่าไปร่วมงานต่าง ๆ ไว้ เช่น ยอดเงินที่จะใส่ซองร่วมงานต่าง ๆ เพื่อไม่เป็นการสร้างความลำบากให้ตนเองในภายหลัง เคยเจอคำถามว่าใส่ซองงานแต่ง 400 ได้ไหม เพราะว่างงาน หรือมีรายได้น้อย ก็ได้มีผู้แนะนำว่าการใส่ซองงานแต่งที่ดีต่อทั้งตนเองและเจ้าภาพ คือ ไม่ควรใส่ซองเกิน 5% ของรายได้ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท ไม่ควรใส่เงินเกิน 1,000 บาท แต่จะใส่เท่าไรในระหว่างจำนวนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่นำมาประกอบในการตัดสินใจต่อไป 

ใส่ตามระดับความสนิทกับเจ้าภาพ

ปัจจัยหลัก ๆ ของจำนวนเงินที่ใส่ซองงานแต่งมักจะขึ้นอยู่กับความสนิทต่อเจ้าภาพเป็นส่วนใหญ่ หากเป็นการใส่ซองงานแต่งเพื่อนสนิท หรือ ญาติพี่น้อง อาจใส่จำนวนเงินมากกว่างานแต่งของคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเงินในซองถือเป็นสินน้ำใจแสดงความยินดี และช่วยเป็นทุนสนับสนุนในการสร้างครอบครัวใหม่ของคนที่เรารักหรือมีความใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งสนิทมาก รักมาก ยิ่งต้องแสดงความรักและซัพพอร์ทเต็มที่ อาจใส่ซองงานแต่ง 4000 หรือ น้อยกว่า – มากกว่า เท่าที่กำลังทรัพย์เราไหว ส่วนเจ้าภาพที่ไม่ได้สนิทเท่าไร อาจเป็นเพียงคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน อาจใส่น้อยกว่า 1000 บาท ตราบใดที่ไม่เกิน 5% ของรายได้ที่เรามี

ไปร่วมงานแต่งด้วยหรือไม่ 

กรณีใส่ซองงานแต่งไม่ได้ไปร่วมงาน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม หากจำนวนใส่ซองจะน้อยกว่าปกติสักเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดอะไร แต่ถ้าเป็นงานของคนสนิท ญาติมิตร ไม่ควรลดจำนวนเงินใส่ซองให้น้อยลง แต่ควรใส่ซองตามจำนวนปกติหรืออาจมากกว่าเดิม  

Read More
Lifestyle Politics Travel

ระวัง! ถ้าไม่อยากติดคุก ห้ามพูดคำเหล่านี้เด็ดขาดเมื่ออยู่สนามบิน 

post-image

เชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์โดยสารเครื่องบินในการเดินทาง ย่อมต้องรู้กฏเกณณ์ห้ามพกพาสิ่งใด หรือห้ามพกวัตถุใดขึ้นเครื่องบิน รวมไปถึง คำต้องห้าม ที่ห้ามพูดเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยในเจตนาหยอกล้อ หรือพูดเพื่อเป็นมุขตลกก็ตาม เพราะสนามบินคือสถานที่รวมกันของผู้คนหลายเชื้อชาติและจากหลายประเทศ จึงต้องมีการเข้มงวดในด้านการรักษาความปลอดภัยสูง 

ทำไมจึงต้องมีคำต้องห้ามใช้ในสนามบิน 

เนื่องจากบางคำนั้นอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความตื่นตระหนก โกลาหล และอาจทำให้เกิดเหตุวุ่นวายจนยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้เกิดความสงบได้ ก่อให้เกิดความเสียหาย และเสียเวลาแก่คนจำนวนมาก เพราะอาจต้องมีการตรวจค้น สอบสวน ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนด เป็นเหตุให้ผู้โดยสารท่านอื่นพลาดการเดินทางตามกำหนดจนอาจเกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาล

คำต้องห้ามในสนามบินมีอะไรบ้าง 

คำต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นการอ่านหนังสือ หรือพูดกับเพื่อน ก็ห้ามพูดหรือออกเสียงออกมาเด็ดขาด 

  • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
    • ระเบิด (Bomb , Explosive) เช่น พูดว่า มีระเบิด จะระเบิดสนามบิน เปิดกระเป๋าระวังเจอระเบิด ปาระเบิด เป็นต้น 
    • อาวุธ มีด ปืน  (Gun) เช่น มีปืนกี่กระบอก พกมีดติดตัวมาด้วย 
    • โรคระบาดร้ายแรง เช่น พูดว่า ติดโควิด ป่วยเป็นอีโบล่า 
    • วัตถุอันตราย เช่น ไซยาไนด์หาซื้อได้ที่ไหน 
    • จี้เครื่องบิน ปล้นเครื่องบิน (Hijack) เช่น พูดว่า หยุดนะนี่คือการปล้น จะปล้นให้หมด จะจี้เครื่องบิน หรือ hijack เป็นต้น 
    • การก่อการร้าย (Terrorist Attack) เช่น พูดว่า จะมีการก่อการร้าย นี่คือการก่อการร้าย 
    • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
  • Read More
    Business

    รวมกองทุนปันผลที่น่าสนใจ กองทุนตัวไหนน่าจะเหมาะกับเรา

    post-image

    ใครที่เริ่มสนใจหรือมองหาการลงทุนเพื่ออนาคต แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนกับกองทุนไหนดี เพราะไม่เคยทำมาก่อน เราจะมาพาทำความรู้จักกับกองทุนปันผลในตลาดหุ้นหรือธีมที่นับว่าแข็งแกร่ง น่าสนใจที่จะลงทุน โดยจะเลือกลงทุนรายตัวหรือจัดเป็นพอร์ตให้กระจายตัวดี 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร

    ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าระหว่าง หุ้นปันผลคืออะไร และกองทุนปันผลคืออะไร จะได้รู้ว่าเหมือนหรือต่างกัน  หุ้นปันผล เป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่นักลงทุนต้องการจะมีเก็บไว้อยู่ในพอร์ตลงทุน เพื่อให้ได้เงินปันผลส่วนนี้เป็นรายได้เสริม หรืออาจกลายเป็นรายได้หลักหลังจากที่เกษียณไปแล้ว แต่บางคนอาจต้องการมีหุ้นปันผลเพื่อลดความเสี่ยง ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน หรือจะทำพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ กองทุนปันผล คือ กองทุนที่นำกำไรที่ได้จากการลงทุนมาแจกจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนนั่นเอง โดยปัจจุบันบริษัทจะนิยมจ่ายเงินปันผล 2 แบบ ด้วยกัน คือ 

    1. จ่ายเป็นเงินสด หรือ Cash Dividend คือรูปแบบที่บริษัทส่วนใหญ่นิยมกันมาก โดยมีเงินปันผลที่ได้มาจากกำไรสะสมของบริษัท โดยจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานปกติ ข้อดี คือ นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล โดยที่การลงทุนจะยังดำเนินต่อไป ส่วนข้อเสีย คือ เงินปันผลที่ได้อาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก เนื่องจากมีการหักภาษีเงินปันผล 10% 

    2. จ่ายเป็นหุ้น หรือ Equity Stock Dividend คือ การเพิ่มทุนเป็นหุ้นสามัญ แล้วจึงจะนำมาจ่ายปันผล โดยกำหนดจ่ายตามอัตราส่วนที่กำหนด เช่น จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นปันผลในอัตราส่วน 10 : 1 คือ ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับหุ้นปันผล 1 หุ้น ในทุก ๆ หุ้นเดิมที่ถืออยู่จำนวน 10 หุ้น หากถือหุ้นสามัญ 1,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 100 หุ้น และถ้าถือหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 1,000 หุ้น เป็นต้น 

    โดยปกติหุ้นปันผลจะมีอัตราเงินปันผลหรือ Dividend Yield โดยคำนวณมาจากเงินปันผลต่อหุ้น / ราคา แต่ในส่วนกองทุนปันผลจะบอกเพียงกองทุนปันผลคิดเป็นกี่บาท / หน่วย ในแต่ละครั้ง ทำให้นักลงทุนไม่สามารถรู้ได้ว่า Dividend เป็นเท่าไร 

    แล้วจะรู้ Dividend Yield ได้อย่างไร ? 

    วิธีการคาดการ Dividend Yield คือ นำส่วนปันผลรวมย้อนหลัง (…

    Read More
    Business Lifestyle

    อัพเดท 7 เทรนด์สีปี 2023 สีไหนมาแรง แต่งบ้านรับปีเถาะกันเถอะ 

    post-image

    สำหรับคนรักบ้าน รักการตกแต่งบ้าน วันนี้เรามาจะอัพเดทเทรนด์สีปี 2023 ซึ่งสีเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมจากเทรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก และทางนิตยสาร Creative Thailand ได้รวบรวมจัดทำขึ้นทุกปี เพื่อส่งเสริมและผลักดันเศรษฐกิจไทย ภายใต้ CEA หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) 

    เราจึงได้นำมาอัพเดทเพื่อเป็นแนวไอเดียให้ใครที่กำลังต้องการจะจัดแต่งบ้านต้อนรับปีใหม่ ซึ่งตรงกับ ปีเถาะ หรือ ปีกระต่าย และเทรนด์สีเหล่านี้ ยังเหมาะต่อการไปใช้กับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงใช้เพื่อสื่อโฆษณาสินค้า การบริการ และงาน Events ต่าง ๆ อีกด้วย มีสีอะไรให้เพื่อน ๆ ได้นำไปใช้เสริมสร้างความปังและทันสมัยกันบ้าง ตามมาเลยค่ะ 

    Elfin Yellow : สีเหลืองอ่อน – ครีม 

    สีเหลืองอ่อนไปจนถึงเกือบออกสีครีม โทนสีที่บ่งบอกถึงความเป็น Minimalism ที่ยังคงได้รับความนิยมในการตกแต่งบ้านเสมอมา เพราะให้ความรู้สึกเรียบง่าย อบอุ่น อ่อนโยน สบายตา นอกจากนี้ โทนสีเหลืองอ่อนยังเป็นสีแห่งการรีเซ็ต การเริ่มหรือสร้างสิ่งใหม่ ๆ และยังเป็นสื่อถึงการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง 

    การตกแต่งบ้านด้วยสีหลักอย่างโทนสีเหลืองอ่อนจะให้สไตล์บ้านมินิมอล แต่ถ้าต้องการเติมความสดใส และความมีชีวิตชีวาให้กับบ้าน อาจใช้เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์สีเหลือง ควบคู่ไปกับสีหลักของบ้านด้วยโทนสีเรียบ ๆ แทน ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในช่วงซัมเมอร์สดใส 

    Lime Green : สีเขียวมะนาว 

    โดยปกติ สีเขียว มักจะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม และมักจะเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ บ้าน และ สำนักงาน เพราะจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบ แต่สำหรับเทรนด์สีปี 2566 ที่ต้องการเพิ่มความล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้เฉดสีเขียวมะนาวเป็นสีที่จะมาแรงแซงทางโค้งอีกสีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสีเขียวมะนาวจะสื่อถึงความสดใสและมีชีวิตชีวาของคนยุค Gen Z ได้เป็นอย่างดี จึงถูกนำมาใช้บนโลกดิจิทัลมากขึ้น 

    แม้ว่าสีเขียวมะนาวจะดูสดและจัดจ้านจนอาจไม่ไหวสำหรับการทาสีผนังบ้าน แต่สามารถนำมาใช้กับของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเพิ่มความสดใสและความโดดเด่นให้กับบ้านมากขึ้น หรือจะลดเฉดลงอีกหน่อยด้วยสีเขียวแอปเปิลก็นับว่าเก๋กู๊ดเลยทีเดียว 

    Blog Business Lifestyle Politics

    วิธีเช็คเบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพโทรหาเรา หรือใครโทรมากันแน่ 

    post-image

    ฮัลโหลวว! นั่นใครโทรมา มิจฉาชีพหรือเปล่าคะ? แต่คงไม่มีมิจฉาชีพคนไหนยอมรับแน่นอน แล้วเราจะมีวิธีไหนเช็คเบอร์ใครโทรมา หรือส่ง SMS พร้อมแนบลิงก์ที่ถ้าเผลอไปกด โดนดูดเงินสูญหมดบัญชี เราจึงต้องมีวิธีป้องกันโดนมิจฉาชีพหลอก ยิ่งช่วงนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาด แถมตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้ เป็นปัญหาสังคมและมีผู้เสียหายไปแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อเราพึ่งใครไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตนเองก่อนในเบื้องต้น ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ 

    Google 

    เมื่อมีเบอร์แปลก ๆ โทรมาหา ไม่ว่าจะก่อนรับสายหรือหลังสายไปแล้ว แต่อยากรู้ว่าใช่เป็นเบอร์มิจฉาชีพหลอกโทรหาเราหรือไม่ ให้นำเบอร์นั้นไปค้นหากับเว็บไซต์กูเกิล หากเป็นหมายเลของมิจฉาชีพที่มีประวัติหลอกลวง เราจะพบข้อมูลที่ผู้เสียหายได้โพสเตือนภัยผ่านบนเว็บไซต์ 

    Facebook 

    เฟซบุคเป็นอีกช่องทางที่สามารถค้นหาเบอร์โทรศัพท์ได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลก ๆ ที่ได้โทรหาเราไปใส่ช่องค้นหา (search) หากเป็นเบอร์ที่เคยมีประวัติหลอกลวง เราจะสามารถพบตามกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มขายของ กลุ่มเตือนภัย ฯลฯ มีผู้เสียหายได้โพสข้อความเตือนภัย พร้อมระบุหมายเลขโทรศัพท์  

    Line 

    อีกช่องทางโซเชียลมีเดียที่ใช้สืบหาเบอร์มิจฉาชีพได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลกที่โทรหาเราไปใส่ในช่องเพิ่มเพื่อน (Add Friend) ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะสามารถค้นหาเจอได้เฉพาะที่หมายเลขลงทะเบียนไลน์เท่านั้น หากแอดด้วยเบอร์โทรฯ แล้ว ไม่พบเจอเป็นผู้ใช้แอปไลน์ปกติทั่วไป ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นมิจฉาชีพ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ 

    Whoscall 

    Whoscall คือ แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมฐานข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ไว้เป็นพันล้านเบอร์ โดยมีผู้โหลดใช้แอป whoscall แล้วมากกว่า 70 ล้านครั้ง โดยแอปฯ นี้ จะมีการระบุหมายเลขโทรศัทพ์ของหน่วยงานต่าง ๆ เบอร์ขายสินเชื่อ เบอร์ขายประกัน รวมไปถึงเบอร์มิจฉาชีพ เมื่อไรที่เบอร์เหล่านี้โทรมา แอปฯ จะดึงข้อมูลมาแจ้งเตือนบนหน้าจอมือถือของเราทันที ทำให้เราสามารถเลือกที่จะรับสายหรือไม่ก็ได้  หรือทำการบล็อกเบอร์นั้นไปเลย ยิ่งไปกว่านั้น whoscall มีฟังก์ชันให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ว่าเป็นใคร เช่น เบอร์ขนส่ง เบอร์มิจฉาชีพ เป็นต้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Whoscall…

    Read More