Blog Health Lifestyle

คนฉลาดเขาฝึกตนกันอย่างไร กับ 9 ข้อ ที่จะทำให้รู้ว่าใครเป็นคนฉลาดแท้ หรือ ฉลาดแค่เปลือกหุ้ม

เพราะสังคมปัจจุบัน มีความหลากหลาย Generation และยังเป็นยุคเทคโนโลยีผสมผสาน ทำให้มีความหลากหลายของความสามารถ ทั้งทางสมอง อารมณ์ และ การปฏิบัติ เมื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็ก ๆ คนข้างบ้าน สังคมในสถานศึกษา หรือสังคมคนทำงาน เรามักจะพบเห็นคนเก่ง คนฉลาดเสมอ แต่เคยไหมที่เรารู้สึกว่าบางคนเก๊ง เก่ง ฉลาดในวิชาชีพ ฉลาดแค่เปลือกหุ้ม แต่กลับไม่ได้ฉลาดในเนื้อแท้ 

Brilliant idea came to mind of young business woman in stylish jacket and glasses sitting in workplace

เรามีวิธีสังเกตคนฉลาดแท้ หรือ แค่ฉลาดในวิชาชีพ หรือ แค่อวดฉลาด โดยดูได้จากอาการ 9 ข้อต่อไปนี้ เพราะเป็นวิธีคิดแบบคนฉลาดแท้จริงเขาฝึกฝนและใช้ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน 

9 ข้อ คนฉลาด มีอะไรบ้าง 

1. อยู่กับปัจจุบัน  

เพราะ “อดีต” คือ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถนำย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก แม้ว่าต้องการแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น การจมอยู่แต่ในความคิดกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกหดหู่ ใจเป็นทุกข์ และเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ สู้นำเวลาการจมอยู่ในอดีตนั้น มาหาทางแก้ไข หรือคิดหาวิธีปรับปรุงในสิ่งที่เคยผิดพลาดไปแล้วดีกว่า ส่วนในเรื่องของ “อนาคต” คือ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งเราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากแผนการที่เราตั้งใจไว้หรือไม่อย่างไร จึงควรโฟกัสอยู่กับ “ปัจจุบัน” ว่าขณะนี้ตนกำลังทำอะไรอยู่ เพื่อมุ่งความสนใจและความตั้งใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ หรือสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเพียงสิ่งเดียว การจดจ่ออยู่สิ่งเดียวจะช่วยให้เรามีสติต่อการงานข้างหน้า ทำให้ผลของงานออกมาได้อย่างไม่ผิดพลาด หรือผิดพลาดได้น้อยลง และพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ว่า เราควรอยู่กับปัจจุบัน ทำทีละอย่าง รู้ทีละเรื่อง ทำให้ความทุกข์เข้าถึงเราได้น้อยลง เมื่อทุกข์น้อย ก็สุขมากขึ้น เท่านั้นเอง 

2. เข้าใจธรรมชาติ 

เข้าใจความจริง ทุกข์ หรือ สุข เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เพราะเข้าใจว่าไม่มีอะไรแน่นอน เป็นสัจธรรมของทุกสิ่ง ที่เมื่อ “เกิดขึ้น” แล้ว “ตั้งอยู่” และ “ดับไป” ไม่มีสิ่งใดจีรัง หรือ ยั่งยืนตลอดไป เมื่อทุกข์ก็ให้รู้ว่าทุกข์ อย่าเอาความรู้สึกทั้งหมดของชีวิตจมอยู่แต่กับความทุข์ ให้โอกาสความสุขเข้ามาในชีวิตบ้าง เพราะเมื่อไรที่เราแบกก้อนหินไว้ตลอดเวลา เราก็จะเมื่อย เหนื่อย ล้า ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ถ้านำหินวางลงบ้าง เราก็จะสัมผัสได้ถึงความสุขจากการไม่หนัก ไม่เมื่อย ไม่เหนื่อย และไม่ล้า หินก้อนนั้นหากโยนได้ให้โยนไปเสีย เราก็จะสุขได้ยาว ๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องแบกหินก้อนนั้นต่อด้วยเหตุผลบางประการ ก็หาโอกาสวางมันลงเสียบ้าง เพื่อเป็นการพักยก เสมือนให้น้ำนักมวยได้มีแรงชกต่อในยกต่อไป ฝึกฝนและทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งเราก็จะพบว่า ความทุกข์มีอยู่รอบตัว ความสุขก็เช่นกัน แค่อยู่ที่เราเลือกจะมอง และทำความเข้าใจมันให้ได้เท่านั้นเอง 

3. มองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ 

คนฉลาดจะไม่พยายามทำตัวให้เป็นคนสำคัญ แต่จะทำตัวเองเป็นคนที่แสนจะธรรมดา ไมให้ความสำคัญกับตนเองมากไป ไม่คิดว่าตนเองเก่งหรือเหนือกว่าคนอื่น หรือ แม้มากความสามารถแต่ก็ไม่ข่มคนอื่น หรือด้อยค่าคนอื่นให้รู้สึกต่ำกว่าตน ไม่ดูถูกหรือปรามาสผู้อื่น แต่จะให้เกียรติ และให้ค่ากับทุกชีวิต เพราะคิดว่าตนเป็นเพียงแค่อีกชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งในโลกนี้เท่านั้น สำหรับใครที่ต้องการฝึกตนให้ฉลาดทางอารมณ์ พึงระลึกข้อนี้และฝีกฝนให้เป็นนิสัย เพราะจะช่วยให้มี EQ ข้ออื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย 

4. เข้าใจในเรื่องของถูกการนินทา 

มีใครในโลกนี้ที่ไม่ถูกนินทาบ้าง เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่พ้นการถูกนินทา พระอริยะผู้มีศีลมีธรรม กษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ยังไม่หลุดพ้นครหานินทา จึงเป็นไปได้ยากที่เราจะไม่ถูกพูดถึง ไม่ว่าจะในทางดีหรือไม่ดี ตราบใดที่เรายังคงต้องอยู่ในสังคม คนฉลาดจะทำความเข้าใจกับมัน และทำหูทวนลม นิ่งเฉย ไม่ให้ค่าความสำคัญกับคำนินทาเหล่านั้น เพราะชีวิตมีอะไรที่สำคัญมากกว่านั้นให้ใส่ใจและจดจำ สำหรับใครที่ต้องการฝึกตน ให้เริ่มจากการคิดเสียว่า “ปากเป็นของเขา เราไปกำหนดอะไรไม่ได้ แต่หูและความคิดเป็นของเรา ถ้าอยากมีความสุขในชีวิต ก็ต้องจัดการ หู และ ความคิด ของตัวเราให้ได้เสียก่อน” เมื่อฝึกไปเรื่อย ๆ คุณจะพบว่าตัวเองเก่งขึ้น และฉลาดในการอยู่ได้อย่างไม่ทุกข์ท่ามกลางคำนินทา 

5. เป็นคนนิ่ง 

การเป็นคนนิ่งในที่นี้ ไม่ใช่คนนิ่ง วางเฉย หรือคนเก็บตัวพูดน้อยแบบ introvert  แต่เป็นคนนิ่งในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่พูดมากแม้ว่าสิ่งนั้นตนจะเป็นผู้รู้ข้อมูลหรือเชี่ยวชาญก็ตาม และไม่พูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด หากพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ และยิ่งเป็นเรื่องไม่ดีก็ไม่ควรพูดเลย เพราะการที่เก็บสิ่งเหล่านั้นมาคิดหรือนำมาพูด พูดในทางเสียหาย มีแต่ทำให้จิตใจตนเองแย่ลง และทุกข์กับการจมอยู่กับสิ่งนั้น 

 6. เป็นคนสบาย ๆ 

เป็นคนสบาย ๆ แบบคนฉลาด คือ ไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมากเกินไป เพราะเป็นการกำหนดและตีกรอบให้ตนเองมีแต่ความอึดอัดและเป็นทุกข์ บางคนพยายามสร้างความสมบูรณ์แบบให้ตนเอง เพื่อให้เป็นเปลือกที่สวยงามให้คนอื่นได้ชื่นชมยกย่อง จนบางครั้งอาจกลายเป็นการสร้างความลำบากให้ตนเอง หรือเบียดเบียนคนอื่นไปด้วย อย่างที่เรามักจะเห็นหลายคนยอมเป็นหนี้เพื่อการสร้างภาพให้กับตนเอง เช่น จมูกไม่สวย ไปเสริมจมูก พอจมูกสวยแล้ว อ้าว ตาไม่สวย ไม่เข้ากับจมูกที่ทำมา ไปทำตาต่อ ทำเสร็จ อันนี้ อันนั้นไม่สวยรับกับจมูกและตาที่ทำมา ต้องไปทำเพิ่ม ฯลฯ และพอสวยสมบูรณ์แบบดั่งใจ ผ่านไประยะหนึ่งก็ต้องไปเติม เพราะที่ทำมาเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำวนลูปไปเรื่อย ไม่จบสิ้น คนมีเงินก็เบียดเบียนตนเอง แต่คนไม่มีเงินก็ต้องไปหาหยิบยืม ลำบากตนเองและเบียดเบียนผู้อื่น แต่คนฉลาดจะเข้าใจได้ดีว่า ความสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีจริง จึงไม่จำเป็นต้องดิ้นรนในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ต้องขวนขวายหาความสมบูรณ์แบบเลิศเลอที่ไม่มีอยู่จริง เพราะในที่สุด ทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมมีเสื่อมไปตามกาลเวลาเสมอ ฝึกเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ พอใจกับสิ่งที่มี สุขใจได้แม้กับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว เป็นลักษณะของคนฉลาดทางอารมณ์ 

7. ไม่เป็นทาสของเงิน 

ข้อนี้จะเชื่อมโยงกับข้อที่แล้ว การเป็นคนสบาย ๆ พึงพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ดิ้นรนหาความสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องหาซื้อของแพง ๆ แบรนด์ดัง ๆ มาประโคมตัว เพื่อให้เกิดเป็นภาพที่เพอร์เฟ็กต์ ให้คนอื่นมองว่าดูดี มีเงิน มีฐานะ มีคลาส ฯลฯ แม้ว่า “เงิน” คือ แรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน เพราะแทบทุกอย่างจะเกิดขึ้นและจัดการได้ง่ายกว่าหากมีเงิน จังเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนต้องดิ้นรน และทำงานหนักจนล้มป่วยเพื่อให้ได้เงินมาเป็นตัวแปรในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่คนฉลาดจะรู้จักพอใจและนำสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้วมาใช้อย่างชาญฉลาด โดยไม่จำเป็นต้องเสริมแต่งภาพจนดิ้นรนทำให้ตนเองเหนื่อยจนเกินไป คนฉลาดรู้จัก “เพียงพอ” อย่าง “พอเพียง” จึงทำให้ไม่เป็นทาสของเงิน 

8. ไม่เป็นคนสะสม 

การไม่เป็นคนสะสม เชื่อมโยงกับข้อ 6-7 การเป็นคนสบาย ๆ ไม่สะสมอะไรให้เป็นภาระ ไม่ดิ้นรนขวนขวายให้ได้มาเพื่อคอลเลคชัน ไม่ต้องเสียเวลาในการหา ไม่ต้องเสียเงินซื้อของสะสม ทำให้ไม่ต้องเป็นทาสของเงิน บางคนยอมเสียเงินเพื่อซื้อของสะสม เห็นคนมีชื่อเสียงสะสมของ (ที่มักจะมีราคาแพงมากเว่อร์ ๆ ) ก็สะสมตามเขา โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะทางการเงินและประสิทธิภาพของตน จนกลายเป็นทาสของเงินในที่สุด คนฉลาดรู้ดีว่าไม่มีอะไรที่สะสมแล้วไม่เป็นภาระ นอกจากการ “สะสมความดี” ที่ยิ่งสะสมมากเท่าไร ก็ยิ่งดีกับตนเอง และยังเป็นมงคลชีวิตอีกด้วย   

9. เป็นคนเสียสละ ยอมเสียเปรียบบ้าง

หลายคนมักจะมองว่า “การเสียสละ” เป็นการกระทำของคนโง่เขลา จึงมักเอาเปรียบจากความใจดี ความยอมเสียสละของคนโง่ (ในความคิดของคนที่ชอบเอาเปรียบหรือแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่น) เหล่านั้น มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มักจะคิดว่าการตักตวงผลประโยชน์จากคนอื่นให้ได้มากที่สุดคือ ตนฉลาด โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าแท้จริงแล้วนั่นคือ ความเห็นแก่ตัว จึงทำให้มีคนเห็นแก่ตัวในทุกสังคม และบางคนก็เป็นคนเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าสิ่งที่ตนทำเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ในขณะที่คนฉลาดจะยอมเสียเปรียบให้ผู้อื่นบ้าง แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังโดนเอาเปรียบ หรือโดนหลอกใช้อยู่ก็ตาม เพราะหากไม่ยอมเสียสละให้เสียบ้าง ก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว และไม่มีความสุขจากความคิดจะเอาชนะ ความทุกข์จากการปะทะกับคนที่จ้องจะเอาเปรียบและคนรอบตัว และคนฉลาดมักจะคิดและมองว่า การเสียสละ คือ “การให้” และ “การปลดปล่อย” 

ให้ : ให้ตนได้สร้างบารมี ให้ตนไม่ทุกข์จากการปะทะอารมณ์ ให้ตนหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรง ให้ตนได้ฝึกฝนจิตใจสูงขึ้น 

ปลดปล่อย : ปลดปล่อยความเห็นแก่ตัว ปลดปล่อยความคับแคบของจิตใจ ปลดปล่อยภาระจากการสะสม 

ดังนั้น คนที่ยอมเสียสละ คนที่ยอมเสียเปรียบ อาจเป็นคนโง่ในสายตาของคนทั่วไป แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงนั้นย่อมรู้ดีว่า “การเสียสละ” และ “การให้อภัย” เป็นอัตลักษณ์ของคนฉลาด เพราะเป็นการสะสมบารมีขั้นสูง ซึ่งคนฉลาดเท่านั้นที่ฝึกและปฏิบัติกัน 

ใครอยากเป็นคนฉลาดแท้โดยเนื้อใน ลองฝึก 9 ข้อ คนฉลาด กันดูค่ะ แล้วจะพบว่า คุณเก่งขึ้นในด้านการจัดการความรู้สึกของตนเอง แม้ว่าจะเกิดอารมณ์ไม่ดีในด้านใด แต่คุณจะมูฟออนได้อย่างรวดเร็ว เพราะตราบใดที่เรายังคงเป็นมนุษย์ทั่วไป ย่อมต้องเกิดความเขลาด้านลบได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ความโกรธ ความเกลียด ความหดหู่จากการจมปลักในอดีต ความกังวลต่ออนาคต ความรู้สึกต่อการถูกนินทา หรือแม้แต่ความต้องการเป็นคนสำคัญอยู่เสมอ ความรู้สึกเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทใด เพียงแต่ … คนฉลาดโดยแท้ จะสามารถจัดการความรู้สึก อารมณ์ จากสิ่งที่กระทบเหล่านั้นได้เร็วกว่าคนทั่วไป และรู้วิธีเปลี่ยนเส้นทางให้ตนเองได้เดินบนหนทางแห่งความทุกข์น้อยลง 

You may also like

Blog Business Lifestyle

บริหารเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังเกษียณ 

post-image

สำหรับใครที่กำลังเริ่มวางแผนปลดตัวเองออกจากงานประจำอยู่ หรือเข้าวัยที่ใกล้จะเกษียณ แต่ยังมองภาพไม่ออกว่าจะบริหารการเงินอย่างไรให้มีเงินใช้หลังจากเกษียณโดยไม่ลำบาก และยังมีเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ลองทำตาม การบริหารเงินให้มีเงินใช้เมื่อต้องเกษียณอายุงาน แบบฉบับนักวางแผนการเงิน ที่เราได้นำมาฝากในบทความนี้กันดีกว่า รับรองว่า ทำได้ตามนี้มีเงินไว้ใช้ยามเกษียณแน่นอน  

1. แยกประเภท “รายจ่าย”  ก่อนจะต่อยอดเงิน

ในการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ย่อมมี รายจ่าย เป็นอุปสรรคใหญ่ของการเก็บออมเงิน มีทั้งแบบที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ ทำให้มีเงินไม่พอเก็บ หรือมัวแต่จ่ายจนลืมเก็บ เพราะไม่มีการจัดการบริหารการเงินใด ๆ แต่ถ้าต้องมีสภาพคล่องทางการเงินในชีวิตหลังเกษียณ การทำความเข้าใจในรายจ่ายแต่ละประเภท จัดเรียงความสำคัญ เพื่อที่จะได้วางแผนการเงินจึงมีความสำคัญ โดยประเภทรายจ่ายในการดำเนินชีวิต มีดังนี้ 

  • หนี้สิน รายจ่ายสำคัญข้อแรกที่ต้องให้ความสำคัญ และไม่ควรลืมที่จะหาทางการชำระหนี้ให้ถูกต้อง เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ เป็นต้น 
  • รายจ่ายทั่วไป คือ รายจ่ายที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าดูแลส่วนอื่น ๆ ภายในบ้าน 
  • รายจ่ายการดูแลสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ ถือว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ การวางแผนการเงินในส่วนนี้ จะช่วยให้สะดวกและลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลลงได้ เช่น การทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เป็นต้น 
  • รายจ่ายอื่น ๆ มักจะเป็นการจ่ายเพื่อเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในด้านการเข้าสังคม การซ่อมแซมบำรุงหรือตกแต่งที่อยู่อาศัย หรือค่าใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยว 

ต้องเก็บเงินเท่าไรจึงจะมีเงินใช้หลังเกษียณ

การคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ในการเก็บเงินใช้หลังเกษียณ สามารถคำนวณได้ดังนี้ 

ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ = รายจ่าย / ปี   x  80%  x จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ 

2. มองหาแหล่ง “รายได้” ประจำ 

หลังจากที่คำนวณรายจ่ายคร่าว ๆ ที่จะต้องมีไว้ใช้หลังเกษียณกันไปแล้ว จากนั้นเราก็มาคำนึงรายได้ในช่องทางต่าง ๆ เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

Blog Business Lifestyle

แหนแดงคืออะไร ใช้แหนแดงทดแทนปุ๋ยเคมีดีไหม 

post-image

กระแสแหนแดงมาแรงแซงทางโค้ง เนื่องจากปุ๋ยราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกษตรกรมีภาระหนักเกินกำลัง จึงต้องมีการมองหาตัวช่วยที่จะใช้ทดแทนปุ๋ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในส่วนของต้นทุนการผลิต ทำให้ แหนแดง เข้ามามีบทบาทสำคัญกับเกษตรกรและการเกษตรอย่างมีนัยยะ 

แหนแดงคืออะไร 

แหนแดง (Azolla spp.) เป็นพืชชนิดเฟิร์นน้ำขนาดเล็ก พบได้ในบริเวณน้ำนิ่งทั่วไป ในใบของแหนแดงมี Cyanobacteria หรือ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน อาศัยอยู่ จึงช่วยสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ ทำให้แหนแดงมีธาตุไนโตรเจนสูง เติบโตง่าย ปลอ่ยไนโตรเจนและธาตุอาหารพืชอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสลายตัวได้ง่าย เหมาะต่อการนำมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และ อาหารสัตว์ ทำให้มีการนำแหนแดงแห้งมาใช้เป็นแหล่งธาตุอาหารให้กับผัก โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ที่ช่วยบำรุงพืชผักในส่วนของใบและลำต้นได้เป็นอย่างดี 

ชาวนานิยมนำแหนแดงใช้ร่วมกับการปลูกข้าวเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด และช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าว ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการใช้ประโยชน์แหนแดงในนาข้าวเท่านั้น แต่เมื่อปุ๋ยมีราคาแพงมากขึ้น และมีกระแสส่งเสริมเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ด้วยคุณสมบัติของแหนแดงที่สามารถใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กรมวิชาการเกษตรได้นำประโยชน์ของแหนแดงมาใช้กับพืชอื่น ๆ จนกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่มีศักยภาพสูงและมีบทบาทสำคัญต่อระบบเกษตรพอเพียง เนื่องจากเป็นพืชที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการเกษตรครบวงจร

แหนแดงมีประโยชน์ด้านการเกษตรอย่างไร

  • ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ทำให้ลดการใช้เคมี ช่วยลดต้นทุน
  • เพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน 
  • ใช้ควบคุมวัชพืชในนาข้าว ลดการใช้เคมีกำจัดวัชพืช 
  • ใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืชผักและผลไม้อื่น ๆ ได้ 
  • ใช้แหนแดงร่วมกับปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ยเคมี ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10 -15% 
  • ใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด ปลา และ สุกร 
  • ต้นทุนการผลิตต่ำ

เนื่องจากแหนแดงเป็นพืชธรรมชาติ เลี้ยงและขยายพันธุ์ง่าย เติบโตไว ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตไว้ใช้เองได้ ใช้ต้นทุนการผลิตต่ำมาก โดยเอกสารทางกรมวิชาการเกษตรได้ระบุไว้ว่า เมื่อหว่านแหนแดงในนา 1 ไร่ จะได้ผลผลิตแหนแดงประมาณ 3,000 กิโลกรัม หรือประมาณ 3 ตัน ซี่งเทียบได้กับปุ๋ยยูเรียประมาณ…

Read More
Blog Business Lifestyle

ใส่ซองงานแต่งยังไงไม่ให้เกิดดราม่า 

post-image

ใครที่กำลังเครียดเพราะถูกเชิญไปงานแต่อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งของญาติ งานแต่งเพื่อนสนิท งานแต่งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่งานแต่งเจ้านาย เพราะไม่รู้ว่าจะใส่ซองงานแต่งเท่าไรจึงเหมาะกับฐานะเจ้าของงาน จะใส่มากแต่รายได้ตนเองก็แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง หากใส่เงินน้อยก็ห่วงจะมีดรามาตามมา กลัวเพื่อนเลิกคบ โดนนินทา เป็นที่เม้าท์มอยสารพัด อันเป็นผลพวงมาจากจำนวนเงินใส่ซองงานแต่ง คิดแล้วทำให้อยากรู้ว่าใครกันนะเป็นผู้บัญญัติประเพณีการใส่ซองงานแต่งนี้ขึ้นมา ทำไมต้องมีการใส่ซองงานแต่ง ทำไมสังคมต้องตัดสินให้คนใส่เงินในซองน้อยกลายเป็นคนผิด และใส่ซองงานแต่งยังไงจึงจะเหมาะสม โดยไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนในภายหลัง 

ใส่ซองตามกำลังทรัพย์ที่มี โดยยึดรายได้ของตัวเองเป็นหลัก 

เมื่อได้รับเชิญงานแต่งที่ต้องมีการใส่ซอง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในอันดับแรกเมื่อจะทำการใส่ซอง คือ คำนึงถึงรายได้ของตนเองก่อน สำหรับใครที่มีทักษะบริหารการเงิน จะมีการแบ่งเงินในส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจน อาจมีการแพลนค่าไปร่วมงานต่าง ๆ ไว้ เช่น ยอดเงินที่จะใส่ซองร่วมงานต่าง ๆ เพื่อไม่เป็นการสร้างความลำบากให้ตนเองในภายหลัง เคยเจอคำถามว่าใส่ซองงานแต่ง 400 ได้ไหม เพราะว่างงาน หรือมีรายได้น้อย ก็ได้มีผู้แนะนำว่าการใส่ซองงานแต่งที่ดีต่อทั้งตนเองและเจ้าภาพ คือ ไม่ควรใส่ซองเกิน 5% ของรายได้ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท ไม่ควรใส่เงินเกิน 1,000 บาท แต่จะใส่เท่าไรในระหว่างจำนวนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่นำมาประกอบในการตัดสินใจต่อไป 

ใส่ตามระดับความสนิทกับเจ้าภาพ

ปัจจัยหลัก ๆ ของจำนวนเงินที่ใส่ซองงานแต่งมักจะขึ้นอยู่กับความสนิทต่อเจ้าภาพเป็นส่วนใหญ่ หากเป็นการใส่ซองงานแต่งเพื่อนสนิท หรือ ญาติพี่น้อง อาจใส่จำนวนเงินมากกว่างานแต่งของคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเงินในซองถือเป็นสินน้ำใจแสดงความยินดี และช่วยเป็นทุนสนับสนุนในการสร้างครอบครัวใหม่ของคนที่เรารักหรือมีความใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งสนิทมาก รักมาก ยิ่งต้องแสดงความรักและซัพพอร์ทเต็มที่ อาจใส่ซองงานแต่ง 4000 หรือ น้อยกว่า – มากกว่า เท่าที่กำลังทรัพย์เราไหว ส่วนเจ้าภาพที่ไม่ได้สนิทเท่าไร อาจเป็นเพียงคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน อาจใส่น้อยกว่า 1000 บาท ตราบใดที่ไม่เกิน 5% ของรายได้ที่เรามี

ไปร่วมงานแต่งด้วยหรือไม่ 

กรณีใส่ซองงานแต่งไม่ได้ไปร่วมงาน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม หากจำนวนใส่ซองจะน้อยกว่าปกติสักเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดอะไร แต่ถ้าเป็นงานของคนสนิท ญาติมิตร ไม่ควรลดจำนวนเงินใส่ซองให้น้อยลง แต่ควรใส่ซองตามจำนวนปกติหรืออาจมากกว่าเดิม  

Read More
Lifestyle Politics Travel

ระวัง! ถ้าไม่อยากติดคุก ห้ามพูดคำเหล่านี้เด็ดขาดเมื่ออยู่สนามบิน 

post-image

เชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์โดยสารเครื่องบินในการเดินทาง ย่อมต้องรู้กฏเกณณ์ห้ามพกพาสิ่งใด หรือห้ามพกวัตถุใดขึ้นเครื่องบิน รวมไปถึง คำต้องห้าม ที่ห้ามพูดเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยในเจตนาหยอกล้อ หรือพูดเพื่อเป็นมุขตลกก็ตาม เพราะสนามบินคือสถานที่รวมกันของผู้คนหลายเชื้อชาติและจากหลายประเทศ จึงต้องมีการเข้มงวดในด้านการรักษาความปลอดภัยสูง 

ทำไมจึงต้องมีคำต้องห้ามใช้ในสนามบิน 

เนื่องจากบางคำนั้นอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความตื่นตระหนก โกลาหล และอาจทำให้เกิดเหตุวุ่นวายจนยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้เกิดความสงบได้ ก่อให้เกิดความเสียหาย และเสียเวลาแก่คนจำนวนมาก เพราะอาจต้องมีการตรวจค้น สอบสวน ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนด เป็นเหตุให้ผู้โดยสารท่านอื่นพลาดการเดินทางตามกำหนดจนอาจเกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาล

คำต้องห้ามในสนามบินมีอะไรบ้าง 

คำต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นการอ่านหนังสือ หรือพูดกับเพื่อน ก็ห้ามพูดหรือออกเสียงออกมาเด็ดขาด 

  • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
    • ระเบิด (Bomb , Explosive) เช่น พูดว่า มีระเบิด จะระเบิดสนามบิน เปิดกระเป๋าระวังเจอระเบิด ปาระเบิด เป็นต้น 
    • อาวุธ มีด ปืน  (Gun) เช่น มีปืนกี่กระบอก พกมีดติดตัวมาด้วย 
    • โรคระบาดร้ายแรง เช่น พูดว่า ติดโควิด ป่วยเป็นอีโบล่า 
    • วัตถุอันตราย เช่น ไซยาไนด์หาซื้อได้ที่ไหน 
    • จี้เครื่องบิน ปล้นเครื่องบิน (Hijack) เช่น พูดว่า หยุดนะนี่คือการปล้น จะปล้นให้หมด จะจี้เครื่องบิน หรือ hijack เป็นต้น 
    • การก่อการร้าย (Terrorist Attack) เช่น พูดว่า จะมีการก่อการร้าย นี่คือการก่อการร้าย 
    • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
  • Read More
    Business

    รวมกองทุนปันผลที่น่าสนใจ กองทุนตัวไหนน่าจะเหมาะกับเรา

    post-image

    ใครที่เริ่มสนใจหรือมองหาการลงทุนเพื่ออนาคต แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนกับกองทุนไหนดี เพราะไม่เคยทำมาก่อน เราจะมาพาทำความรู้จักกับกองทุนปันผลในตลาดหุ้นหรือธีมที่นับว่าแข็งแกร่ง น่าสนใจที่จะลงทุน โดยจะเลือกลงทุนรายตัวหรือจัดเป็นพอร์ตให้กระจายตัวดี 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร

    ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าระหว่าง หุ้นปันผลคืออะไร และกองทุนปันผลคืออะไร จะได้รู้ว่าเหมือนหรือต่างกัน  หุ้นปันผล เป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่นักลงทุนต้องการจะมีเก็บไว้อยู่ในพอร์ตลงทุน เพื่อให้ได้เงินปันผลส่วนนี้เป็นรายได้เสริม หรืออาจกลายเป็นรายได้หลักหลังจากที่เกษียณไปแล้ว แต่บางคนอาจต้องการมีหุ้นปันผลเพื่อลดความเสี่ยง ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน หรือจะทำพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ กองทุนปันผล คือ กองทุนที่นำกำไรที่ได้จากการลงทุนมาแจกจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนนั่นเอง โดยปัจจุบันบริษัทจะนิยมจ่ายเงินปันผล 2 แบบ ด้วยกัน คือ 

    1. จ่ายเป็นเงินสด หรือ Cash Dividend คือรูปแบบที่บริษัทส่วนใหญ่นิยมกันมาก โดยมีเงินปันผลที่ได้มาจากกำไรสะสมของบริษัท โดยจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานปกติ ข้อดี คือ นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล โดยที่การลงทุนจะยังดำเนินต่อไป ส่วนข้อเสีย คือ เงินปันผลที่ได้อาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก เนื่องจากมีการหักภาษีเงินปันผล 10% 

    2. จ่ายเป็นหุ้น หรือ Equity Stock Dividend คือ การเพิ่มทุนเป็นหุ้นสามัญ แล้วจึงจะนำมาจ่ายปันผล โดยกำหนดจ่ายตามอัตราส่วนที่กำหนด เช่น จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นปันผลในอัตราส่วน 10 : 1 คือ ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับหุ้นปันผล 1 หุ้น ในทุก ๆ หุ้นเดิมที่ถืออยู่จำนวน 10 หุ้น หากถือหุ้นสามัญ 1,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 100 หุ้น และถ้าถือหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 1,000 หุ้น เป็นต้น 

    โดยปกติหุ้นปันผลจะมีอัตราเงินปันผลหรือ Dividend Yield โดยคำนวณมาจากเงินปันผลต่อหุ้น / ราคา แต่ในส่วนกองทุนปันผลจะบอกเพียงกองทุนปันผลคิดเป็นกี่บาท / หน่วย ในแต่ละครั้ง ทำให้นักลงทุนไม่สามารถรู้ได้ว่า Dividend เป็นเท่าไร 

    แล้วจะรู้ Dividend Yield ได้อย่างไร ? 

    วิธีการคาดการ Dividend Yield คือ นำส่วนปันผลรวมย้อนหลัง (…

    Read More
    Business Lifestyle

    อัพเดท 7 เทรนด์สีปี 2023 สีไหนมาแรง แต่งบ้านรับปีเถาะกันเถอะ 

    post-image

    สำหรับคนรักบ้าน รักการตกแต่งบ้าน วันนี้เรามาจะอัพเดทเทรนด์สีปี 2023 ซึ่งสีเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมจากเทรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก และทางนิตยสาร Creative Thailand ได้รวบรวมจัดทำขึ้นทุกปี เพื่อส่งเสริมและผลักดันเศรษฐกิจไทย ภายใต้ CEA หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) 

    เราจึงได้นำมาอัพเดทเพื่อเป็นแนวไอเดียให้ใครที่กำลังต้องการจะจัดแต่งบ้านต้อนรับปีใหม่ ซึ่งตรงกับ ปีเถาะ หรือ ปีกระต่าย และเทรนด์สีเหล่านี้ ยังเหมาะต่อการไปใช้กับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงใช้เพื่อสื่อโฆษณาสินค้า การบริการ และงาน Events ต่าง ๆ อีกด้วย มีสีอะไรให้เพื่อน ๆ ได้นำไปใช้เสริมสร้างความปังและทันสมัยกันบ้าง ตามมาเลยค่ะ 

    Elfin Yellow : สีเหลืองอ่อน – ครีม 

    สีเหลืองอ่อนไปจนถึงเกือบออกสีครีม โทนสีที่บ่งบอกถึงความเป็น Minimalism ที่ยังคงได้รับความนิยมในการตกแต่งบ้านเสมอมา เพราะให้ความรู้สึกเรียบง่าย อบอุ่น อ่อนโยน สบายตา นอกจากนี้ โทนสีเหลืองอ่อนยังเป็นสีแห่งการรีเซ็ต การเริ่มหรือสร้างสิ่งใหม่ ๆ และยังเป็นสื่อถึงการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง 

    การตกแต่งบ้านด้วยสีหลักอย่างโทนสีเหลืองอ่อนจะให้สไตล์บ้านมินิมอล แต่ถ้าต้องการเติมความสดใส และความมีชีวิตชีวาให้กับบ้าน อาจใช้เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์สีเหลือง ควบคู่ไปกับสีหลักของบ้านด้วยโทนสีเรียบ ๆ แทน ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในช่วงซัมเมอร์สดใส 

    Lime Green : สีเขียวมะนาว 

    โดยปกติ สีเขียว มักจะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม และมักจะเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ บ้าน และ สำนักงาน เพราะจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบ แต่สำหรับเทรนด์สีปี 2566 ที่ต้องการเพิ่มความล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้เฉดสีเขียวมะนาวเป็นสีที่จะมาแรงแซงทางโค้งอีกสีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสีเขียวมะนาวจะสื่อถึงความสดใสและมีชีวิตชีวาของคนยุค Gen Z ได้เป็นอย่างดี จึงถูกนำมาใช้บนโลกดิจิทัลมากขึ้น 

    แม้ว่าสีเขียวมะนาวจะดูสดและจัดจ้านจนอาจไม่ไหวสำหรับการทาสีผนังบ้าน แต่สามารถนำมาใช้กับของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเพิ่มความสดใสและความโดดเด่นให้กับบ้านมากขึ้น หรือจะลดเฉดลงอีกหน่อยด้วยสีเขียวแอปเปิลก็นับว่าเก๋กู๊ดเลยทีเดียว 

    Blog Business Lifestyle Politics

    วิธีเช็คเบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพโทรหาเรา หรือใครโทรมากันแน่ 

    post-image

    ฮัลโหลวว! นั่นใครโทรมา มิจฉาชีพหรือเปล่าคะ? แต่คงไม่มีมิจฉาชีพคนไหนยอมรับแน่นอน แล้วเราจะมีวิธีไหนเช็คเบอร์ใครโทรมา หรือส่ง SMS พร้อมแนบลิงก์ที่ถ้าเผลอไปกด โดนดูดเงินสูญหมดบัญชี เราจึงต้องมีวิธีป้องกันโดนมิจฉาชีพหลอก ยิ่งช่วงนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาด แถมตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้ เป็นปัญหาสังคมและมีผู้เสียหายไปแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อเราพึ่งใครไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตนเองก่อนในเบื้องต้น ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ 

    Google 

    เมื่อมีเบอร์แปลก ๆ โทรมาหา ไม่ว่าจะก่อนรับสายหรือหลังสายไปแล้ว แต่อยากรู้ว่าใช่เป็นเบอร์มิจฉาชีพหลอกโทรหาเราหรือไม่ ให้นำเบอร์นั้นไปค้นหากับเว็บไซต์กูเกิล หากเป็นหมายเลของมิจฉาชีพที่มีประวัติหลอกลวง เราจะพบข้อมูลที่ผู้เสียหายได้โพสเตือนภัยผ่านบนเว็บไซต์ 

    Facebook 

    เฟซบุคเป็นอีกช่องทางที่สามารถค้นหาเบอร์โทรศัพท์ได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลก ๆ ที่ได้โทรหาเราไปใส่ช่องค้นหา (search) หากเป็นเบอร์ที่เคยมีประวัติหลอกลวง เราจะสามารถพบตามกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มขายของ กลุ่มเตือนภัย ฯลฯ มีผู้เสียหายได้โพสข้อความเตือนภัย พร้อมระบุหมายเลขโทรศัพท์  

    Line 

    อีกช่องทางโซเชียลมีเดียที่ใช้สืบหาเบอร์มิจฉาชีพได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลกที่โทรหาเราไปใส่ในช่องเพิ่มเพื่อน (Add Friend) ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะสามารถค้นหาเจอได้เฉพาะที่หมายเลขลงทะเบียนไลน์เท่านั้น หากแอดด้วยเบอร์โทรฯ แล้ว ไม่พบเจอเป็นผู้ใช้แอปไลน์ปกติทั่วไป ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นมิจฉาชีพ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ 

    Whoscall 

    Whoscall คือ แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมฐานข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ไว้เป็นพันล้านเบอร์ โดยมีผู้โหลดใช้แอป whoscall แล้วมากกว่า 70 ล้านครั้ง โดยแอปฯ นี้ จะมีการระบุหมายเลขโทรศัทพ์ของหน่วยงานต่าง ๆ เบอร์ขายสินเชื่อ เบอร์ขายประกัน รวมไปถึงเบอร์มิจฉาชีพ เมื่อไรที่เบอร์เหล่านี้โทรมา แอปฯ จะดึงข้อมูลมาแจ้งเตือนบนหน้าจอมือถือของเราทันที ทำให้เราสามารถเลือกที่จะรับสายหรือไม่ก็ได้  หรือทำการบล็อกเบอร์นั้นไปเลย ยิ่งไปกว่านั้น whoscall มีฟังก์ชันให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ว่าเป็นใคร เช่น เบอร์ขนส่ง เบอร์มิจฉาชีพ เป็นต้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Whoscall…

    Read More
    Lifestyle Travel

    ชี้พิกัด 7 บ้านกระจกสวย ที่น่าไปเช็คอินสักครั้งในชีวิต

    post-image

    วันหยุดยาวทั้งทีหาที่เที่ยวฮีลใจกันดีกว่า มัดรวมพิกัด ที่เที่ยว บ้านกระจกใส วิวสวย นอนมองฟิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรมากั้นระหว่างเรา ให้ฟีลเหมือนเที่ยวต่างประเทศ มีที่ไหนบ้างไปดูกัน แล้วจัดกระเป๋ากันเล๊ยยย! 

    Kissing Stars Glamping  (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    kissing stars glamping บ้านแม่ลาย เชียงใหม่


    เริ่มจากภาคเหนือของไทยกันก่อนเลย บ้านทรงกล่องสี่เหลี่ยมบนเนินเขา ติดกระจกใสมองเห็นวิวด้านนอก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนธรรมชาติโอบอุ้ม ด้านในกว้างขวาง นอนแช่อ่างดูดาวดาวเพลิน ๆ ยิ่งถ้าไปช่วงหน้าหนาว บรรยากาศดีได้ฟีลเหมือนอยู่เมืองนอกยังไงยังงั้นเลย หรือไปช่วงหน้าฝน ก็ให้ความโรแมนติกไปอีกแบบ 

    2. Morning Star Glamping เฟส 1 (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    morning star phase 1


    บ้านกระจกใสกลางป่า ที่มาแล้วจะรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ฟินแลนด์ สไตล์การตกแต่งแบบอบอุ่น เน้นความเรียบง่าย เสมือนเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่จริง มีลำธารหน้าบ้าน หรือจะเลือกนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างชมวิวเพลิน ๆ ก็ฟีลดีทั้งคู่ มีทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ติดแอร์เย็นฉ่ำ ไม่ต้องกังวลแม้จะมาในช่วงที่แดดเปรี้ยง 

    3. Morning Star Glamping เฟส 2  (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    morning star phase 2


    ต่อด้วย พูลวิลล่า ริมลำธาร เฟส 2 บ้านกระจกใสทรงเอที่ให้ฟีลเมืองนอกสุด ๆ มีห้องนอนและน้องนั่งเล่นแยกกันภายในบ้านมีห้องน้ำ 2 ห้อง สามารถเข้าพักได้ 2-4 คน มีทั้งอ่างในห้องและสระน้ำอุ่น outdoor แช่น้ำอุ่น ดูดาว รับลมหนาวริมลำธาร ถ้าจะบรรยากาศดีขนาดนี้ ต้องไปให้ได้สักครั้งแล้วล่ะ 

    4. หลงเขาแคมป์ ภูทับเบิก (ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์)