ทุกวันนี้ มีผู้คนมากมายที่เผชิญกับปัญหาสุขภาพ เนื่องจากชีวิตที่เร่งรีบ และการทำงานจนลืมดูแลสุขภาพของตนเอง และบางคนก็คิดว่าขั้นตอนการดูแลตัวเองนั้นยุ่งยาก จึงละเลยที่จะใส่ใจ ยิ่งปัจจุบันนี้มีโรคระบาดมากขึ้น ทั้งโรคอุบัติใหม่ และโรคดั้งเดิมที่คอยหาโอกาสกลับมาโจมตีมนุษย์อยู่เรื่อยๆ ดังนั้น การมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงจึงสำคัญมาก เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการรับมือ เรามาดูแลสุขภาพกันถอะ ทำได้ง่าย..ไม่ยากเลย

1. ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
สิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญ คือ อาหาร เพราะอาหารเป็นปัจจัยข้อแรกในปัจจัย 4 ของการดำรงชีวิตเราทุกคน และอาหารก็เป็นแหล่งพลังงานที่ดี ให้ร่างกายมีกำลังและมีความพร้อมในการทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นอาหารก็เป็นอีกปัจจัยในการดูแลสุขภาพ ด้วยการดูแลจากภายในสู่ภายนอก เราจึงควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่ โดยทานในแต่ละวันให้หลากหลายและพอดีตามที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ซึ่งเน้นโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต แล้วตามด้วยผัก ผลไม้ เสริมด้วยเกลือแร่และวิตามินต่างๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลและไขมันสูง
แต่ชีวิตคนเรามันต้องมีสีสันและการไหลตามใจกันบ้าง จึงอาจตามใจปากกันบ้างกับอาหารที่อาจไม่ได้มีประโยชน์หรือดีกับสุขภาพมากนัก แต่ทานในปริมาณที่พอดี อย่างฉลองกับเพื่อนด้วยการทานปิ้งย่างบ้างในบางครั้ง กินขนมจำพวกเบเกอรี่บ้างเป็นบางหน ชานมไข่มุกแก้วเล็กๆสักเดือนละ 1-2 แก้ว เพื่อความสุขเล็กๆน้อยๆ เป็นการเติมเต็มอารมณ์ดีได้โดยไม่เสียสุขภาพ แต่ถ้าคุณกระหน่ำทานมากเกินไป ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพและโรคต่างๆก็จะตามมาแน่นอน

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย
ทุกคนรู้ดีว่าการดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ต่อพื้นฐานการมีสุขภาพดี และน้ำก็เป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้ในแต่ละวัน ซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าอาหารเลย แต่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่กลับมองข้ามและไม่ได้ใส่ใจในการดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน แต่การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว จะดีต่อสุขภาพ สำหรับใครที่มักจะดื่มน้ำน้อย หรือมักจะลืมดื่มน้ำ ลองหาแก้วหรือขวดน้ำสวยๆ ใส่น้ำแล้ววางไว้ใกล้ตัวเสมอ ให้สามารถมองเห็นง่ายๆ เพื่อจะได้เตือนให้หยิบน้ำขึ้นมาดื่มบ่อยๆ และตั้งเป้าหมายปริมาณของน้ำที่จะดื่มให้หมดภายในหนึ่งวัน ก็จะช่วยให้ดื่มน้ำได้มากขึ้น
น้ำเปล่า นอกจากจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าแล้ว น้ำ ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อระบบการทำงานภายในร่างกายของคนเรา ทั้งระบบการย่อยอาหาร การไหลเวียนของเลือด การเผาผลาญ ระบบขับถ่าย หากดื่มน้ำน้อยเกินไป เลือดจะมีความเข้มข้นมากจนหนืด ไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยและเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ นอกจากนั้น น้ำ ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผิวใส ผมสวย และ การดื่มน้ำ ช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย

3. ออกกำลังกาย
ทานอาหารแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายกันหน่อย ยิ่งปัจจุบันมีหลากหลายกิจกรรมที่ถือว่าเป็นการออกกำลังกายได้เช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาหนักๆ โดยอาจเลือกการออกกำลังกาย หรือสันทนาการเบาๆ ตามความชอบ ไลฟ์สไตล์ และเหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเอง จะทำให้ออกกำลังกายอย่างมีความสุข ไม่เบื่อเร็ว และออกกำลังกายได้นานขึ้น เช่น การเต้นแอโรบิค การเล่นโยคะ การเดินเร็ว เซิร์ฟ ปั่นจักรยาน บอดีเวท หรือแม้แต่การวิ่งเล่นไล่จับกับสัตว์เลี้ยง ก็เป็นการออกกำลังกายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพเช่นกัน
การออกกำลังกายที่ให้ผลดี คือการได้ทำเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบเดิมๆทุกวัน อาจปรับเปลี่ยนกิจกรรมแต่ละวันเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย แต่ถ้าต้องการออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬาและต้องการให้เกิดความชำนาญ ก็อาจต้องฝึกฝนและเล่นสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที และ 2-3 ครั้ง / สัปดาห์ การออกกำลังกายไม่ว่าในรูปแบบไหนก็ตาม นอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพดี ยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย

4. พักผ่อนให้เพียงพอ
การได้นอนหลับอย่างเพียงพอ เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่เราสามารถทำได้ในการดูแลตัวเอง เพราะการได้นอนหลับ อวัยวะทุกส่วนของร่างกายได้หยุดพัก หรือทำงานน้อยลง และเป็นช่วงสำคัญที่ระบบภูมิต้านทานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งร่างกายยังได้โอกาสในการชาร์จพลังงานเต็มที่ เหมือนโทรศัพท์ที่เราชาร์จจนแบตเต็ม เมื่อพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ ร่างกายก็รู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นขึ้นมา และมีความพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างไม่เหนื่อยล้า โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้านอน คือ 22.00 – 02.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้หลั่งโกรทฮอร์โมน เพื่อฟื้นฟูระบบต่างๆในร่างกายได้เต็มที่ และยังเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้การนอนมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่สุด

5. เพิ่มพลังบวกให้ตัวเองเสมอ
ทัศนคติด้านลบ หรือความคิดในแง่ลบอยู่เสมอ และการจมอยู่กับความวิตกกังวล จดจ่อแต่กับปัญหาใดปัญหาหนึ่งมากเกินไป เป็นสาเหตุของความเครียดสะสมและความทุกข์ จนทำให้เป็นคนที่คิดแต่ทิศทางที่แย่ลง จนอาจทำให้ไม่มีความสุขในชีวิต ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ดังนั้นควรปรับมุมมองปัญหา ฝึกฝนให้ตัวเองมองโลกในแง่ดี ยอมรับข้อบกพร่องของตนเองและทำความเข้าใจอย่างมีสติ แบบไม่เข้าข้างตนเอง และปรับเปลี่ยนให้มันดีขึ้น หรือถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถมองข้ามได้ ก็ลองปล่อยผ่านปล่อยวางเสียบ้าง
การฝึกให้ตัวเองมีพลังบวก เริ่มต้นด้วยการมองโลกบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น มองหาข้อดีจากสิ่งต่างๆให้มากกว่าข้อเสีย และพยายามพาตัวเองไปในที่รายล้อมไปด้วยความคิดเชิงบวก จะช่วยให้เราได้รับพลังบวกและทัศนคติเชิงบวกไปด้วย เพราะเมื่อเรามีพลังบวก จะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ดีขึ้น มีอารมณ์ดี กังวลน้อยลง ยิ้มได้ง่ายขึ้น มีความสุขมากขึ้น สุขภาพก็ดีขึ้นทวีคูณไปด้วย

6. ตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ
การตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยให้เรารู้ทันต่อปัจจัยเสี่ยงของสุขภาพตนเอง และสามารถดูแลป้องกันไปในทิศทางที่เหมาะสม ต่อการป้องกันโรคต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราได้ เรียกได้ว่าเป็นการป้องกันแต่เนิ่นๆ ดีกว่าแก้ไขทีหลังที่อาจแก้ไขไม่ทันก็ได้ และถ้าหากมีโรคร้ายแอบซ่อนอยู่ จะได้ตรวจพบในระยะแรกๆ ทำให้สามารถรักษาได้ทัน และป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือความรุนแรงของโรคได้