Health Lifestyle

5 หมวดหมู่ มงคลชีวิต 38 ประการ

มงคลชีวิต 38 ประการหรือ สูตรมงคล 38 ประการ เป็นข้อปฏิบัติเพื่อความเป็นมงคลชีวิตที่มี 38 ข้อ ด้วยกัน ซึ่งหากว่าไปตามแต่ละข้อนั้นก็จะมีเนื้อหาที่ยาวและสามารถรวบรวมเป็นเล่มไว้ศึกษาเลยทีเดียว ในบทความนี้ได้ทำการแบ่งเป็นหมวดหมู่ และทำเป็นฉบับย่อส่วนของสูตรมงคลให้พอเข้าใจสั้นๆได้ดังนี้ 

มงคลสูตร 38 ข้อ แบ่งได้เป็น 10 หมู่ โดย 5 หมู่แรกเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ส่วน 5 หมู่หลัง จะเป็นการฝึกจิตใจโดยตรง โดยบทความนี้เราจะขอแบ่งมากล่าวถึง 5 หมู่แรก ซึ่งมีดังต่อไปนี้ 

รูปมงคล 38 

หมู่ที่ 1 ฝึกให้เป็นคนดี 

ประกอบด้วย มงคล 38 ข้อ 1 ไม่คบคนพาล มงคลข้อที่ 2 คบบัณฑิต และ มงคลข้อที่ 3 บูชาบุคคลที่ควรบูชา ซึ่งหมวดหมู่นี้เป็นการฝึกตนให้เป็นคนดี ด้วยนิสัยของคนเรามักจะมาจากคนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อม มีหลายคนที่คบคนเช่นไรก็มักจะซึมซับเป็นคนเช่นนั้นโดยไม่รู้ตัว เช่น เมื่ออยู่ในกลุ่มขี้เหล้า ก็มักจะต้องมีการดื่มตามเขา แรกๆอาจดื่มเล็กน้อยด้วยความเกรงใจ แต่เมื่อบ่อยๆครั้งเข้าก็จะดื่มเพิ่มขึ้นจนอาจกลายเป็นขี้เหล้าไปโดยปริยาย ดังนั้นหากไม่ต้องการเป็นคนที่นิสัยไม่ดี ก็ต้องเริ่มจาก…

ไม่คบคนพาล

“คนพาล” ในที่นี้คือ “ผู้มีใจพาลเกเร” มีความประพฤติที่หลงผิด ชอบว่าร้ายนินทาผู้อื่นให้เสียหาย ลักขโมย ปล้นจี้ ตั้งวงดื่มเหล้าเป็นประจำ เป็นต้น การหลีกเลี่ยงที่จะคบคนพาล เป็นการป้องกันตนเองไม่ให้มีความหลงผิด ที่อาจซึมซับจากการคลุกคลี หรือการยั่วยุ เพื่อให้เป็นพวกเดียวกัน และทำอะไรผิดๆตามไปด้วย เพราะจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ เช่น อาจหลงคบคนเล่นการพนัน ก็เล่นตามเขาจนติดการพนัน เป็นผีการพนัน หมดเงินหมดก็ไปปล้นจี้เขาเพื่อมาเล่นหรือมาจ่ายค่าหนี้พนัน ดังที่เรามักจะเห็นข่าวอยู่บ่อยๆ เป็นต้น 

คบบัณฑิต

“บัณฑิต” ในที่นี้หมายถึง “คนดี” คนที่มีความประพฤติดี ทั้งกาย วาจา ใจ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ เพื่อรับนิสัยดีๆ ซึมซับคุณธรรมต่างๆจากผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเข้าสู่ตัวเรา 

บูชาบุคคลที่ควรบูชา

บุคคลที่ควรบูชา ในที่นี้ คือผู้ที่มีความประพฤติดีด้วยกาย วาจา ใจ และเปี่ยมด้วยคุณธรรม บูชาและเคารพเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างในการปฏิบัติตาม เช่น บูชาพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ที่ดำรงตนในศีล 227 ข้อ มีจริยาวัตรงดงาม ไม่ใช่คนที่ห่มผ้าเหลืองอวดอ้างความศักดิ์สิทธ์ หรือหมอดู คนทรงเจ้า  

หมู่ที่ 2 สร้างความพร้อมเพื่อฝึกตนเอง 

สร้างความพร้อมเพื่อฝึกตนเองด้วยมงคลชีวิตข้อที่ 4 อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม มงคลชีวิตข้อที่ 5 มีบุญวาสนามาก่อน และ มงคลชีวิตข้อที่ 6 ตั้งตนชอบ 

อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม

หมายถึง อยู่ในถิ่นที่สิ่งแวดล้อมโดยรอบดี ไม่เป็นพิษภัยต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ สามารถประกอบกิจการงานอันเป็นสัมมาอาชีพเจริญก้าวหน้าได้โดยง่าย และสร้างคุณงามความดีได้เต็มที่ โดยองค์ประกอบของถิ่นที่เหมาะสมทั้งในทางโลกและทางธรรม ได้แก่ มีสถานศึกษาให้ความรู้ดี มีการปกครองบริหารราชการบ้านเมืองดี มีพระภิกษุและฆราวาสปฏิบัติธรรมดี ไม่มีนักเลง-อันธพาล หรือโจรผู้ร้าย มีความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร ไม่ขาดแคลน สภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศดี ไม่หนาว ไม่ร้อนเกินไป การคมนาคมเดินทางสะดวก 

มีบุญวาสนามาก่อน

“บุญ” คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจแล้วเป็นสุข สะอาด สงบ ทำให้เลือกคิดแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ดีงาม เหมาะสม และตามมาด้วย การพูดดี ทำดี เป็นลำดับต่อไป ซึ่งบุญที่เกิดขึ้นแล้ว จะส่งผลปรุงแต่งให้จิตใจเราดีและมีคุณภาพ เบาสบาย ไม่อึดอัด ไม่เป็นทุกข์กังวล บุญในกาลก่อนจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ 

  • บุญช่วงไกล คือ คุณงามความดีที่เราทำไว้ในภพชาติก่อน ซึ่งส่งผลมาถึงภพชาติปัจจุบัน ในเรื่องของรูปร่าง หน้าตา ฐานะ หากมีการสะสมมาดี ก็ส่งผลให้เกิดมามีอวัยวะครบสมบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง ไม่พิการ มีสติปัญญาดี
  • บุญช่วงใกล้ คือ คุณงามความดีที่เราทำไว้ในภพชาติปัจจุบัน มีจิตใจมุ่งมั่นในการปฏิบัติตนดี ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะในทางโลกหรือทางธรรม 

ตั้งตนชอบ

หมายถึง การตั้งเป้าหมายชีวิตทั้งในทางโลกและทางธรรมไว้ถูกต้อง แล้วประคับประคองตนให้ดำเนินชีวิตไปตามเป้าหมายนั้นด้วยความระมัดระวัง โดยเป้าหมายชีวิตของคนเราทุกคนมี 3 ระดับ 

  • เป้าหมายชีวิตขั้นต้น คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อประโยชน์ในชาตินี้ ตั้งเป้าหมายในการดำรงอาชีพที่สุจริต เพื่อเลี้ยงชีพตนและคนในครอบครัว แล้วมุ่งมั่นฝึกฝนให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 
  • เป้าหมายชีวิตขั้นกลาง คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อประโยชน์ในชาติหน้า ด้วยการสะสมสร้างกุศล บารมี ในทุกๆโอกาส เพื่อเป็นเสบียงบุญในภพชาติหน้า เพราะสัตว์ใดที่ยังไม่สูญสิ้นกิเลส เมื่อตายจากโลกนี้แล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป 
  • เป้าหมายชีวิตขั้นสูงสุด คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง ด้วยการเพียรปฏิบัติธรรมทุกรูปแบบ เพื่อปราบกิเลสให้หมดสิ้น แล้วเข้าสู่นิพพานตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฎสงสาร ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกในทุกภพชาติ 

หมู่ที่ 3 ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์ 

ประกอบไปด้วยมงคลชีวิตข้อ 7 เป็นพหูสูตร มงคลชีวิตข้อที่ 8 มีศิลปะ และมงคลชีวิตข้อที่ 9 มีวินัย 

เป็นพหูสูตร

พหูสูตร หมายถึง ผู้มีความรู้ คือ “ฉลาดรู้” หรือ “รู้มาก” นั้นเอง พหูสูตรเป็นผู้รู้หลักวิชาการ รู้ทฤษฎีมากจากการศึกษาเล่าเรียน ได้ยินได้ฟังมามาก จนมีความรู้ความเข้าใจและชำนาญ นำไปสู่ “ปัญญา” ซึ่งจะเป็นกุญแจไขไปสู่หนทางความสำเร็จ ชื่อเสียง และทุกสิ่งที่ปรารถนา แต่พหูสูตรจะมีความแตกต่างจากบัณฑิต แต่ยังมีคนเรียกผู้สำเร็จวิชาการทางโลกว่าบัณฑิต ทั้งที่มีความต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

  • พหูสูตร คือ ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ จากการศึกษา โดยที่อาจไม่มีคุณธรรม หรือไม่มีจริยธรรม กล่าวง่ายๆว่า “เป็นผู้รู้มากในทางโลก” แต่ไม่ได้มุ่งเน้นในทางธรรม แม้จะสามารถประสบความสำเร็จในทางโลก แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากอบายภูมิ 
  • บัณฑิต คือ ผู้มีจริยธรรม คุณธรรม มุ่งเน้นประพฤติดีทางใจ วาจา กาย ไม่ว่าผู้นั้นจะมีความรู้ความเก่งมากหรือน้อยก็ตาม แต่บัณฑิต คือผู้มีความฉลาดรู้ในทางธรรม และใช้ความรู้นั้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ซี่งจะเป็นผู้ที่ไม่ตกไปสู่อบายภูมิ 

มีศิลปะ  

ศิลปะ แปลว่า การแสดงออกให้งดงาม น่าพึงชม หรือ “ฉลาดทำ” คือ “ทำเป็น” นั่นเอง พหูสูตร คือผู้ฉลาดรู้ รู้หลักทฤษฎี ส่วน ศิลปะ คือ ความสามารถในการนำความรู้ไปปฏิบัติให้เกิดผล ซึ่งศิลปะมี 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ 

  • ทางกาย คือ ฉลาดทำ เป็นความเชี่ยวชาญในการช่างอาชีพ เช่น ช่างภาพ ช่างทอ ช่างวาด ช่างออกแบบ หมด เชฟ ฯลฯ ตลอดไปจนถึงการมีมารยาท การสำรวมกาย การแสดงความเคารพ ล้วนเป็นศิลปะทั้งสิ้น 
  • ทางวาจา คือ ฉลาดพูด มีวาทศิลป์ รู้จักพูดในสิ่งที่ดี พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์
  • ทางใจ คือ ฉลาดคิด มีสติสัมปชัญญะ ควบคุมความคิดไปในทางที่ดี คิดในทางสร้างสรร หรือรู้เท่าทันความคิดไม่ดีที่เกิดขึ้นแล้วปรับเปลี่ยนมุมมอง เพื่อยกระดับจิตใจตนให้สูงขึ้น 

ดังนั้น ศิลปะ จึงหมายถึง คิดเป็น พูดเป็น ทำเป็น แต่ก็ใช่ว่า พหูสูตร ผู้มีความรู้จะมีศิลปะในการนำไปใช้กันทุกคน เช่น ผู้จบการศึกษาในหลักสูตรระดับสูง จากมหาวิทยาลัยดังๆ มีความรู้ในวิชาการ แต่นำหลักความรู้นั้นไปใช้ในเส้นทางผิดๆ นำไปใช้คดโกงและเอาเปรียบผู้อื่น หรือประพฤติตนเป็นคนไร้มารยาท ไร้สัมมาคารวะ เป็นต้น 

มีวินัย

วินัย คือ ระเบียบหรือข้อกำหนดสำหรับควบคุมคนให้คนยืดถือปฏิบัติตาม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการอยู่ร่วมกันของสังคมนั้นๆ วินัยมี 2 ประเภท 

  • วินัยในทางโลก เช่น กฏหมาย ข้อบังคับ ธรรมเนียม บัญญัติ พระราชกฤษฎีกา รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคม 
  • วินัยในทางธรรม คือ ศีล แปลว่า ปกติ ฉะนั้น ใครผิดศีล คือ คนผิดปกติ และที่ใดมีคนรักษาศีล ที่นั่นย่อมมีความสงบ เนื่องจาก ศีล เป็นข้อปฏิบัติที่มุ่งเน้น ให้ละเว้นจากการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว โดยวินัยของฆราวาสหรือปุถุชนทั่วไปคือ ศีล 5 ศีล 8 ส่วนวินัยสำหรับผู้ออกบวช ได้แก่ ศีลอุโบสถ ศีล10 ศีล 227 และศีล 311 

มีวาจาสุภาษิต

วาจาสุภาษิต หมายถึง คำพูดที่ผู้พูดกลั่นกรองไว้ดีแล้วด้วยใจที่ผ่องใส ไม่ใช่สักแต่พูด วาจาสุภาษิตมีองค์ประกอบ 4 ประการด้วยกัน ได้แก่ 

  • เป็นคำจริง ไม่ปั้นแต่งขึ้น ไม่บิดเบือน ไม่เสริมความ ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง 
  • เป็นคำสุภาพ เป็นคำพูดที่สุภาพ ไม่เป็นคำหยาบ คำด่า เสียดสี ประชดประชัน ที่ฟังแล้วระคายหู ระคายใจ 
  • พูดแล้วเกิดประโยชน์ มีผลดีต่อผู้พูดและผู้ฟัง เพราะถึงแม้จะเป็นคำพูดที่สุภาพ และเป็นความจริง แต่ถ้าพูดไปแล้วไม่มีประโยชน์ กลับจะทำให้เกิดโทษ หรือทำให้ผู้ฟังไม่สบายใจ ก็ไม่ควรพูด 
  • พูดด้วยจิตเมตตา และปรารถนาดีอย่างจริงใจ ให้คนฟังมีความสุข หรือเจริญยิ่งๆขึ้นไป แต่ต่อให้เป็นเรื่องจริง เป็นคำสุภาพ พูดแล้วเกิดประโยชน์ แต่จิตใจคนพูดยังคงขุ่นมัว พูดด้วยความอิจฉา ก็ไม่ควรพูด 
  • พูดถูกกาละเทศะ คือพูดให้ถูกช่วงเวลาและสถานที่ เพราะถ้าหากคนฟังยังไม่พร้อมจะรับ แม้จะเป็นคำสุภาพ เป็นเรื่องจริง มีประโยชน์ ก็อาจกลายเป็นโทษ หรือถูกมองว่าผู้พูดมีเจตนาที่ไม่ดีได้ 

มงคลหมู่ที่ 4 บำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว 

การบำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว ประกอบไปด้วย มงคลชีวิตข้อ11 บำรุงบิดามารดา มงคลชีวิตข้อ12 เลี้ยงดูบุตร มงคลชีวิตข้อ13 สงเคราะห์ภรรยา(สามี) และ มงคลชีวิตข้อ14 ทำงานไม่คั่งค้าง 

บำรุงบิดามารดา

ด้วยบิดามารดานั้น เปรียบเสมือนเป็น พรหม เทวดา ครู และพระอรหันต์ของลูก เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุดของลูก ดังนั้นลูกทุกคนจึงควรมีความ 

  • กตัญญู คือ รู้คุณ เห็นคุณค่าของพวกท่านอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ปากว่าเท่านั้น 
  • กตเวที คือ ตอบแทนคุณ ด้วยการประกาศคุณของท่าน คือ การประพฤติตนเป็นคนดี ทำให้คนอื่นสรรเสริญถึงการอบรมนิสัยของพ่อแม่ ที่ทำให้มีลูกดี ช่วยเหลือกิจการงาน ดูแลความเป็นอยู่ของบิดามารให้สะดวกสบาย และเมื่อยามป่วยไข้ก็ดูแลรักษา ข้อสำคัญที่สุดในการตอบแทนคุณบิดามารดา คือ การชักนำพาท่านเข้าสู่ทางธรรม ซึ่งเป็นการตอบแทนบุญคุณอันสูงสุด 

เลี้ยงดูบุตร 

บุตร คือ ผู้ที่จะยังความสุข ความปลื้มปิติ ยาหล่อเลี้ยงใจแก่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ และบุตรยังเป็นผลแห่งความดีของบิดามารดา ที่ได้คอยอบรมบ่มนิสัย ยิ่งบุตรมีความประพฤติดีทำดีมากเท่าไร คนทั่วไปก็จะยิ่งชื่นชมสรรเสริญพ่อแม่มากเท่านั้น และด้วยที่เราทุกคนต้องแก่และตายในวันหนึ่ง จึงหวังจะมีสิ่งที่พึ่งทั้งทางกายและใจ โดยประเภทของบุตรแบ่งได้ตามความดีด้วยกัน 

  • อภิชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา เป็นบุตรชั้นสูง เป็นผู้พาบิดามารดาได้รู้จักธรรม 
  • อนุชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรมเสมอบิดามาดา เป็นบุตรชั้นกลาง ไม่พอที่จะพาบิดามารดาสู่ธรรมที่สูงกว่า 
  • อวชาตบุตร คือ บุตรที่เลว ไร้คุณธรรม หรือมีคุณธรรมต่ำกว่าบิดามารดา นำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล 

องค์ประกอบให้ได้ลูกดี 

  • พ่อแม่จะต้องเป็นคนดี หรือทำบุญมาดีจึงจะได้ลูกที่ดี เหมือนต้นไม้พันธุ์ดีก็ย่อมจะมีลูกผลดี 
  • พ่อแม่จะต้องเลี้ยงดูอบรมลูกดี เพื่อให้ซึมซับความดีตั้งแต่เด็ก และสามารถเติบโตเป็นคนดีในอนาคต โดยการเลี้ยงลูกทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป 

สงเคราะห์ภรรยา(สามี) 

การครองคู่ชีวิตให้ยาวนาน คือ การดูแลซึ่งกันและกันทั้งด้านทางกายและจิตใจ ด้วยสังคหวัตถุ 4 ประการ 

  • ทาน คือ การปันให้กันและกัน หามาได้ก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมไปถึง ปันความสุขและทุกข์ร่วมกัน การปลอบใจ การให้คำปรึกษา เพื่อปัดเป่าความทุกข์ให้กับอีกฝ่าย 
  • ปิยวาจา คือ พูดกันด้วยวาจาไพเราะ ถนอมน้ำใจกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดตักเตือน หรือให้คำปรึกษา ก็ควรเป็นคำพูดที่รักษาน้ำใจ 
  • อัตถจริยา คือ การทำประโยชน์ต่อกันในทุกด้าน อะไรที่ทำแล้วดี มีประโยชน์กับอีกฝ่าย ก็หมั่นทำต่อกันเสมอ 
  • สมานัตตตา คือ วางตัวให้เหมาะสมกับฐานะที่ตนเป็น เป็นสามีก็พึงปฏิบัติหน้าที่ของสามีให้ดีครบถ้วน รักและซื่อสัตย์ ให้เกียรติและกล่าวสรรเสริญภรรยา ส่วนภรรยาก็ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ให้เกียรติ รักและซื่อสัตย์ ดูแลความเป็นอยู่ให้สามี ตามความเหมาะสม 

ทำงานไม่คั่งค้าง

การทำงานในที่นี่ หมายถึงหน้าที่ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นกิจการงานส่วนตัว หรือการงานสัมมาอาชีพ เพื่อหาเลี้ยงตน ควรจะต้องใส่ใจและมุ่งมั่นที่จะทำงานหรือหน้าที่ของตนให้สำเร็จเรียบร้อย ก่อนจะไปทำอย่างอื่น เพราะหากปล่อยทิ้งไว้แล้วคิดว่าค่อยกลับมาทำใหม่ โดยมุ่งความสนใจไปทำสิ่งอื่นก่อน เมื่อจะต้องกลับมาทำงานต่อ อาจหมดแรงใจ หรือเกิดความเกียจคร้าน หรือหมดเวลาของงานนั้นๆ อาจสร้างความเสียหายหรือมีผลกระทบตามมาได้ 

มงคลหมู่ที่ 5 บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม

ประกอบไปด้วยมงคลชีวิตข้อ15 บำเพ็ญทาน มงคลชีวิตข้อ16 ประพฤติธรรม มงคลชีวิตข้อ17 สงเคราะห์ญาติ มงคลชีวิตข้อ18 ทำงานไม่มีโทษ 

บำเพ็ญทาน ทาน แปลว่า การให้ หมายถึง การสละสิ่งของของตน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ ซึ่งการให้ทานเป็นพื้นฐานความดีของมนุษย์ เพราะถ้าพ่อแม่ไม่ให้ทาน คือไม่ได้เลี้ยงเรามา เราก็คงตายตั้งแต่เกิดแล้ว สามีภรรยาไม่ให้ทาน ไม่มีการแบ่งปัน ก็คงบ้านแตก หรือ ถ้าครูอาจารย์ไม่ให้ทาน ไม่ถ่ายทอดความรู้แก่เรา เราก็โง่ดักดาน  และถ้าคนเราโกรธกันแล้วไม่ให้อภัยทานกัน โลกนี้ก็เป็นกลียุค จึงเห็นได้ว่า พวกเราทุกคนเติบโตมาได้ก็ด้วย การให้ทาน การให้ทานจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับสรรพสิ่งในโลกนี้ โดยประเภทของทานมีด้วยกัน 3 ประเภท คือ 

  • อามิสทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของ 
  • ธรรมทานหรือวิทยาทาน คือ การให้ความรู้เป็นทาน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ทางโลก เช่น ศิลปะวิทยาการต่างๆ หรือ วิชาชีพ ซึ่งเป็นวิทยาทาน และการให้ความรู้ทางธรรมเป็นทาน เช่น สอนให้ละชั่ว สอนให้ทำความดี สอนให้ทำใจผ่องใส เป็นต้น
  • อภัยทาน คือ การสละอารมณ์โกรธเป็นทาน ให้อภัย ไม่จองเวร ไม่พยาบาท 

ประพฤติธรรม  การประพฤติธรรมจะช่วยนำความสงบสุขมาให้แก่ทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม อย่างน้อยการยึดถือรักษาศีล 5 และปฏิบัติตามหลักกุศลกรรมบถ 10 ประการ เพื่อการละเว้นคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว การลักขโมยก็จะไม่มี การคดโกงก็จะไม่มี เพราะทุกคนมีจริยธรรม และไม่ต้องการเบียดเบียนซึ่งกันและกันนั่นเอง 

สงเคราะห์ญาติ การช่วยเหลือญาติที่สามารถพึงทำได้ นับว่าเป็นการสงเคราะห์ญาติที่สมควรทำ เพระเราทุกคนเกิดมาย่อมจะต้องมีญาติพี่น้อง วงศาคณาญาติ แต่การช่วยเหลือญาตินั้นจะต้องเป็นไปอย่างสมควรและเหมาะสม เมื่อญาติเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ก็ต้องเป็นผู้ที่พยายามช่วยเหลือตนเองก่อน หรือรู้จักทำตัวให้น่าช่วย และจะต้องไม่เป็นการช่วยเหลือในทางที่ผิด เช่น ให้เงินไปซื้อสิ่งอบายมุข ให้อาวุธไปทำร้ายผู้อื่น ช่วยพาหลบหนีกฏหมายเมื่อทำผิด เป็นต้น 

ทำงานไม่มีโทษ งานไม่มีโทษ คือ งานที่ไม่มีภัย งานที่ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่เป็นงานที่มีประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น เป็นงานที่ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ค้าอาวุธ ไม่ค้ามนุษย์ ไม่ค้ายาพิษ ไม่ค้ายาเสพย์ติด ไม่ค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า การละเว้นจากการงานเหล่านี้ ถือว่าเป็นการทำงานไม่มีโทษ 

You may also like

Blog Business Lifestyle

ใส่ซองงานแต่งยังไงไม่ให้เกิดดราม่า 

post-image

ใครที่กำลังเครียดเพราะถูกเชิญไปงานแต่อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งของญาติ งานแต่งเพื่อนสนิท งานแต่งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่งานแต่งเจ้านาย เพราะไม่รู้ว่าจะใส่ซองงานแต่งเท่าไรจึงเหมาะกับฐานะเจ้าของงาน จะใส่มากแต่รายได้ตนเองก็แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง หากใส่เงินน้อยก็ห่วงจะมีดรามาตามมา กลัวเพื่อนเลิกคบ โดนนินทา เป็นที่เม้าท์มอยสารพัด อันเป็นผลพวงมาจากจำนวนเงินใส่ซองงานแต่ง คิดแล้วทำให้อยากรู้ว่าใครกันนะเป็นผู้บัญญัติประเพณีการใส่ซองงานแต่งนี้ขึ้นมา ทำไมต้องมีการใส่ซองงานแต่ง ทำไมสังคมต้องตัดสินให้คนใส่เงินในซองน้อยกลายเป็นคนผิด และใส่ซองงานแต่งยังไงจึงจะเหมาะสม โดยไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนในภายหลัง 

ใส่ซองตามกำลังทรัพย์ที่มี โดยยึดรายได้ของตัวเองเป็นหลัก 

เมื่อได้รับเชิญงานแต่งที่ต้องมีการใส่ซอง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในอันดับแรกเมื่อจะทำการใส่ซอง คือ คำนึงถึงรายได้ของตนเองก่อน สำหรับใครที่มีทักษะบริหารการเงิน จะมีการแบ่งเงินในส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจน อาจมีการแพลนค่าไปร่วมงานต่าง ๆ ไว้ เช่น ยอดเงินที่จะใส่ซองร่วมงานต่าง ๆ เพื่อไม่เป็นการสร้างความลำบากให้ตนเองในภายหลัง เคยเจอคำถามว่าใส่ซองงานแต่ง 400 ได้ไหม เพราะว่างงาน หรือมีรายได้น้อย ก็ได้มีผู้แนะนำว่าการใส่ซองงานแต่งที่ดีต่อทั้งตนเองและเจ้าภาพ คือ ไม่ควรใส่ซองเกิน 5% ของรายได้ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท ไม่ควรใส่เงินเกิน 1,000 บาท แต่จะใส่เท่าไรในระหว่างจำนวนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่นำมาประกอบในการตัดสินใจต่อไป 

ใส่ตามระดับความสนิทกับเจ้าภาพ

ปัจจัยหลัก ๆ ของจำนวนเงินที่ใส่ซองงานแต่งมักจะขึ้นอยู่กับความสนิทต่อเจ้าภาพเป็นส่วนใหญ่ หากเป็นการใส่ซองงานแต่งเพื่อนสนิท หรือ ญาติพี่น้อง อาจใส่จำนวนเงินมากกว่างานแต่งของคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเงินในซองถือเป็นสินน้ำใจแสดงความยินดี และช่วยเป็นทุนสนับสนุนในการสร้างครอบครัวใหม่ของคนที่เรารักหรือมีความใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งสนิทมาก รักมาก ยิ่งต้องแสดงความรักและซัพพอร์ทเต็มที่ อาจใส่ซองงานแต่ง 4000 หรือ น้อยกว่า – มากกว่า เท่าที่กำลังทรัพย์เราไหว ส่วนเจ้าภาพที่ไม่ได้สนิทเท่าไร อาจเป็นเพียงคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน อาจใส่น้อยกว่า 1000 บาท ตราบใดที่ไม่เกิน 5% ของรายได้ที่เรามี

ไปร่วมงานแต่งด้วยหรือไม่ 

กรณีใส่ซองงานแต่งไม่ได้ไปร่วมงาน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม หากจำนวนใส่ซองจะน้อยกว่าปกติสักเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดอะไร แต่ถ้าเป็นงานของคนสนิท ญาติมิตร ไม่ควรลดจำนวนเงินใส่ซองให้น้อยลง แต่ควรใส่ซองตามจำนวนปกติหรืออาจมากกว่าเดิม  

Read More
Lifestyle Politics Travel

ระวัง! ถ้าไม่อยากติดคุก ห้ามพูดคำเหล่านี้เด็ดขาดเมื่ออยู่สนามบิน 

post-image

เชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์โดยสารเครื่องบินในการเดินทาง ย่อมต้องรู้กฏเกณณ์ห้ามพกพาสิ่งใด หรือห้ามพกวัตถุใดขึ้นเครื่องบิน รวมไปถึง คำต้องห้าม ที่ห้ามพูดเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยในเจตนาหยอกล้อ หรือพูดเพื่อเป็นมุขตลกก็ตาม เพราะสนามบินคือสถานที่รวมกันของผู้คนหลายเชื้อชาติและจากหลายประเทศ จึงต้องมีการเข้มงวดในด้านการรักษาความปลอดภัยสูง 

ทำไมจึงต้องมีคำต้องห้ามใช้ในสนามบิน 

เนื่องจากบางคำนั้นอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความตื่นตระหนก โกลาหล และอาจทำให้เกิดเหตุวุ่นวายจนยากที่จะระงับเหตุการณ์ให้เกิดความสงบได้ ก่อให้เกิดความเสียหาย และเสียเวลาแก่คนจำนวนมาก เพราะอาจต้องมีการตรวจค้น สอบสวน ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนด เป็นเหตุให้ผู้โดยสารท่านอื่นพลาดการเดินทางตามกำหนดจนอาจเกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาล

คำต้องห้ามในสนามบินมีอะไรบ้าง 

คำต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นการอ่านหนังสือ หรือพูดกับเพื่อน ก็ห้ามพูดหรือออกเสียงออกมาเด็ดขาด 

  • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
    • ระเบิด (Bomb , Explosive) เช่น พูดว่า มีระเบิด จะระเบิดสนามบิน เปิดกระเป๋าระวังเจอระเบิด ปาระเบิด เป็นต้น 
    • อาวุธ มีด ปืน  (Gun) เช่น มีปืนกี่กระบอก พกมีดติดตัวมาด้วย 
    • โรคระบาดร้ายแรง เช่น พูดว่า ติดโควิด ป่วยเป็นอีโบล่า 
    • วัตถุอันตราย เช่น ไซยาไนด์หาซื้อได้ที่ไหน 
    • จี้เครื่องบิน ปล้นเครื่องบิน (Hijack) เช่น พูดว่า หยุดนะนี่คือการปล้น จะปล้นให้หมด จะจี้เครื่องบิน หรือ hijack เป็นต้น 
    • การก่อการร้าย (Terrorist Attack) เช่น พูดว่า จะมีการก่อการร้าย นี่คือการก่อการร้าย 
    • คำพูด หรือ เขียนข้อความใด ๆ ที่แสดงถึงการคุกคาม ข่มขู่ หรือ ทำให้รู้สึกเป็นภัย เช่น พูดว่า “ระวังเชื้อโควิด”…
  • Read More
    Business

    รวมกองทุนปันผลที่น่าสนใจ กองทุนตัวไหนน่าจะเหมาะกับเรา

    post-image

    ใครที่เริ่มสนใจหรือมองหาการลงทุนเพื่ออนาคต แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนกับกองทุนไหนดี เพราะไม่เคยทำมาก่อน เราจะมาพาทำความรู้จักกับกองทุนปันผลในตลาดหุ้นหรือธีมที่นับว่าแข็งแกร่ง น่าสนใจที่จะลงทุน โดยจะเลือกลงทุนรายตัวหรือจัดเป็นพอร์ตให้กระจายตัวดี 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร 

    หุ้นปันผลกับกองทุนปันผลต่างกันอย่างไร

    ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าระหว่าง หุ้นปันผลคืออะไร และกองทุนปันผลคืออะไร จะได้รู้ว่าเหมือนหรือต่างกัน  หุ้นปันผล เป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่นักลงทุนต้องการจะมีเก็บไว้อยู่ในพอร์ตลงทุน เพื่อให้ได้เงินปันผลส่วนนี้เป็นรายได้เสริม หรืออาจกลายเป็นรายได้หลักหลังจากที่เกษียณไปแล้ว แต่บางคนอาจต้องการมีหุ้นปันผลเพื่อลดความเสี่ยง ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน หรือจะทำพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ กองทุนปันผล คือ กองทุนที่นำกำไรที่ได้จากการลงทุนมาแจกจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนนั่นเอง โดยปัจจุบันบริษัทจะนิยมจ่ายเงินปันผล 2 แบบ ด้วยกัน คือ 

    1. จ่ายเป็นเงินสด หรือ Cash Dividend คือรูปแบบที่บริษัทส่วนใหญ่นิยมกันมาก โดยมีเงินปันผลที่ได้มาจากกำไรสะสมของบริษัท โดยจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานปกติ ข้อดี คือ นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล โดยที่การลงทุนจะยังดำเนินต่อไป ส่วนข้อเสีย คือ เงินปันผลที่ได้อาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก เนื่องจากมีการหักภาษีเงินปันผล 10% 

    2. จ่ายเป็นหุ้น หรือ Equity Stock Dividend คือ การเพิ่มทุนเป็นหุ้นสามัญ แล้วจึงจะนำมาจ่ายปันผล โดยกำหนดจ่ายตามอัตราส่วนที่กำหนด เช่น จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นปันผลในอัตราส่วน 10 : 1 คือ ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับหุ้นปันผล 1 หุ้น ในทุก ๆ หุ้นเดิมที่ถืออยู่จำนวน 10 หุ้น หากถือหุ้นสามัญ 1,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 100 หุ้น และถ้าถือหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 1,000 หุ้น เป็นต้น 

    โดยปกติหุ้นปันผลจะมีอัตราเงินปันผลหรือ Dividend Yield โดยคำนวณมาจากเงินปันผลต่อหุ้น / ราคา แต่ในส่วนกองทุนปันผลจะบอกเพียงกองทุนปันผลคิดเป็นกี่บาท / หน่วย ในแต่ละครั้ง ทำให้นักลงทุนไม่สามารถรู้ได้ว่า Dividend เป็นเท่าไร 

    แล้วจะรู้ Dividend Yield ได้อย่างไร ? 

    วิธีการคาดการ Dividend Yield คือ นำส่วนปันผลรวมย้อนหลัง (…

    Read More
    Business Lifestyle

    อัพเดท 7 เทรนด์สีปี 2023 สีไหนมาแรง แต่งบ้านรับปีเถาะกันเถอะ 

    post-image

    สำหรับคนรักบ้าน รักการตกแต่งบ้าน วันนี้เรามาจะอัพเดทเทรนด์สีปี 2023 ซึ่งสีเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมจากเทรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก และทางนิตยสาร Creative Thailand ได้รวบรวมจัดทำขึ้นทุกปี เพื่อส่งเสริมและผลักดันเศรษฐกิจไทย ภายใต้ CEA หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) 

    เราจึงได้นำมาอัพเดทเพื่อเป็นแนวไอเดียให้ใครที่กำลังต้องการจะจัดแต่งบ้านต้อนรับปีใหม่ ซึ่งตรงกับ ปีเถาะ หรือ ปีกระต่าย และเทรนด์สีเหล่านี้ ยังเหมาะต่อการไปใช้กับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงใช้เพื่อสื่อโฆษณาสินค้า การบริการ และงาน Events ต่าง ๆ อีกด้วย มีสีอะไรให้เพื่อน ๆ ได้นำไปใช้เสริมสร้างความปังและทันสมัยกันบ้าง ตามมาเลยค่ะ 

    Elfin Yellow : สีเหลืองอ่อน – ครีม 

    สีเหลืองอ่อนไปจนถึงเกือบออกสีครีม โทนสีที่บ่งบอกถึงความเป็น Minimalism ที่ยังคงได้รับความนิยมในการตกแต่งบ้านเสมอมา เพราะให้ความรู้สึกเรียบง่าย อบอุ่น อ่อนโยน สบายตา นอกจากนี้ โทนสีเหลืองอ่อนยังเป็นสีแห่งการรีเซ็ต การเริ่มหรือสร้างสิ่งใหม่ ๆ และยังเป็นสื่อถึงการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง 

    การตกแต่งบ้านด้วยสีหลักอย่างโทนสีเหลืองอ่อนจะให้สไตล์บ้านมินิมอล แต่ถ้าต้องการเติมความสดใส และความมีชีวิตชีวาให้กับบ้าน อาจใช้เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์สีเหลือง ควบคู่ไปกับสีหลักของบ้านด้วยโทนสีเรียบ ๆ แทน ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในช่วงซัมเมอร์สดใส 

    Lime Green : สีเขียวมะนาว 

    โดยปกติ สีเขียว มักจะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม และมักจะเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ บ้าน และ สำนักงาน เพราะจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบ แต่สำหรับเทรนด์สีปี 2566 ที่ต้องการเพิ่มความล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้เฉดสีเขียวมะนาวเป็นสีที่จะมาแรงแซงทางโค้งอีกสีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสีเขียวมะนาวจะสื่อถึงความสดใสและมีชีวิตชีวาของคนยุค Gen Z ได้เป็นอย่างดี จึงถูกนำมาใช้บนโลกดิจิทัลมากขึ้น 

    แม้ว่าสีเขียวมะนาวจะดูสดและจัดจ้านจนอาจไม่ไหวสำหรับการทาสีผนังบ้าน แต่สามารถนำมาใช้กับของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเพิ่มความสดใสและความโดดเด่นให้กับบ้านมากขึ้น หรือจะลดเฉดลงอีกหน่อยด้วยสีเขียวแอปเปิลก็นับว่าเก๋กู๊ดเลยทีเดียว 

    Blog Business Lifestyle Politics

    วิธีเช็คเบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพโทรหาเรา หรือใครโทรมากันแน่ 

    post-image

    ฮัลโหลวว! นั่นใครโทรมา มิจฉาชีพหรือเปล่าคะ? แต่คงไม่มีมิจฉาชีพคนไหนยอมรับแน่นอน แล้วเราจะมีวิธีไหนเช็คเบอร์ใครโทรมา หรือส่ง SMS พร้อมแนบลิงก์ที่ถ้าเผลอไปกด โดนดูดเงินสูญหมดบัญชี เราจึงต้องมีวิธีป้องกันโดนมิจฉาชีพหลอก ยิ่งช่วงนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาด แถมตำรวจก็ยังทำอะไรไม่ได้ เป็นปัญหาสังคมและมีผู้เสียหายไปแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อเราพึ่งใครไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตนเองก่อนในเบื้องต้น ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ 

    Google 

    เมื่อมีเบอร์แปลก ๆ โทรมาหา ไม่ว่าจะก่อนรับสายหรือหลังสายไปแล้ว แต่อยากรู้ว่าใช่เป็นเบอร์มิจฉาชีพหลอกโทรหาเราหรือไม่ ให้นำเบอร์นั้นไปค้นหากับเว็บไซต์กูเกิล หากเป็นหมายเลของมิจฉาชีพที่มีประวัติหลอกลวง เราจะพบข้อมูลที่ผู้เสียหายได้โพสเตือนภัยผ่านบนเว็บไซต์ 

    Facebook 

    เฟซบุคเป็นอีกช่องทางที่สามารถค้นหาเบอร์โทรศัพท์ได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลก ๆ ที่ได้โทรหาเราไปใส่ช่องค้นหา (search) หากเป็นเบอร์ที่เคยมีประวัติหลอกลวง เราจะสามารถพบตามกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มขายของ กลุ่มเตือนภัย ฯลฯ มีผู้เสียหายได้โพสข้อความเตือนภัย พร้อมระบุหมายเลขโทรศัพท์  

    Line 

    อีกช่องทางโซเชียลมีเดียที่ใช้สืบหาเบอร์มิจฉาชีพได้เช่นกัน โดยการนำเบอร์แปลกที่โทรหาเราไปใส่ในช่องเพิ่มเพื่อน (Add Friend) ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะสามารถค้นหาเจอได้เฉพาะที่หมายเลขลงทะเบียนไลน์เท่านั้น หากแอดด้วยเบอร์โทรฯ แล้ว ไม่พบเจอเป็นผู้ใช้แอปไลน์ปกติทั่วไป ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นมิจฉาชีพ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ 

    Whoscall 

    Whoscall คือ แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมฐานข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ไว้เป็นพันล้านเบอร์ โดยมีผู้โหลดใช้แอป whoscall แล้วมากกว่า 70 ล้านครั้ง โดยแอปฯ นี้ จะมีการระบุหมายเลขโทรศัทพ์ของหน่วยงานต่าง ๆ เบอร์ขายสินเชื่อ เบอร์ขายประกัน รวมไปถึงเบอร์มิจฉาชีพ เมื่อไรที่เบอร์เหล่านี้โทรมา แอปฯ จะดึงข้อมูลมาแจ้งเตือนบนหน้าจอมือถือของเราทันที ทำให้เราสามารถเลือกที่จะรับสายหรือไม่ก็ได้  หรือทำการบล็อกเบอร์นั้นไปเลย ยิ่งไปกว่านั้น whoscall มีฟังก์ชันให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ว่าเป็นใคร เช่น เบอร์ขนส่ง เบอร์มิจฉาชีพ เป็นต้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Whoscall…

    Read More
    Lifestyle Travel

    ชี้พิกัด 7 บ้านกระจกสวย ที่น่าไปเช็คอินสักครั้งในชีวิต

    post-image

    วันหยุดยาวทั้งทีหาที่เที่ยวฮีลใจกันดีกว่า มัดรวมพิกัด ที่เที่ยว บ้านกระจกใส วิวสวย นอนมองฟิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรมากั้นระหว่างเรา ให้ฟีลเหมือนเที่ยวต่างประเทศ มีที่ไหนบ้างไปดูกัน แล้วจัดกระเป๋ากันเล๊ยยย! 

    Kissing Stars Glamping  (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    kissing stars glamping บ้านแม่ลาย เชียงใหม่


    เริ่มจากภาคเหนือของไทยกันก่อนเลย บ้านทรงกล่องสี่เหลี่ยมบนเนินเขา ติดกระจกใสมองเห็นวิวด้านนอก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนธรรมชาติโอบอุ้ม ด้านในกว้างขวาง นอนแช่อ่างดูดาวดาวเพลิน ๆ ยิ่งถ้าไปช่วงหน้าหนาว บรรยากาศดีได้ฟีลเหมือนอยู่เมืองนอกยังไงยังงั้นเลย หรือไปช่วงหน้าฝน ก็ให้ความโรแมนติกไปอีกแบบ 

    2. Morning Star Glamping เฟส 1 (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    morning star phase 1


    บ้านกระจกใสกลางป่า ที่มาแล้วจะรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ฟินแลนด์ สไตล์การตกแต่งแบบอบอุ่น เน้นความเรียบง่าย เสมือนเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่จริง มีลำธารหน้าบ้าน หรือจะเลือกนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างชมวิวเพลิน ๆ ก็ฟีลดีทั้งคู่ มีทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ติดแอร์เย็นฉ่ำ ไม่ต้องกังวลแม้จะมาในช่วงที่แดดเปรี้ยง 

    3. Morning Star Glamping เฟส 2  (บ้านแม่ลาย จ.เชียงใหม่) 

    morning star phase 2


    ต่อด้วย พูลวิลล่า ริมลำธาร เฟส 2 บ้านกระจกใสทรงเอที่ให้ฟีลเมืองนอกสุด ๆ มีห้องนอนและน้องนั่งเล่นแยกกันภายในบ้านมีห้องน้ำ 2 ห้อง สามารถเข้าพักได้ 2-4 คน มีทั้งอ่างในห้องและสระน้ำอุ่น outdoor แช่น้ำอุ่น ดูดาว รับลมหนาวริมลำธาร ถ้าจะบรรยากาศดีขนาดนี้ ต้องไปให้ได้สักครั้งแล้วล่ะ 

    4. หลงเขาแคมป์ ภูทับเบิก (ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์) 

    Business

    ปัญหาระบบไฟฟ้าอะไรบ้างที่พบได้บ่อยในโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมบอกแนวทางแก้ไข

    post-image

    อีกปัญหาหนึ่งที่โรงงานอุตสาหกรรมมักจะพบกันบ่อยคือ ระบบไฟฟ้า ทั้งในเรื่องของ ไฟตก ไฟเกิน ไฟกระโชก รวมไปถึงสัญญาณรบกวน ส่งผลกระทบต่อระบบเครื่องจักรและอิเล็กทรอนิกส์ในโรงงาน ที่มักมีความไวต่อความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าได้สูงมาก ซึ่งความรุนแรงนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่กระทบเพียงเล็กน้อยโดยไม่ส่งผลใด ๆ จนถึงสร้างความเสียหายต่อกระบวนการผลิต ส่งผลต่อระบบธุรกิจ และ การชำรุดเสียหายของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในโรงงาน หรืออาจรุนแรงจนก่อให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน 

    เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว จึงต้องมีการติดตั้ง Surge Protection หรือ ระบบกันไฟกระชาก โดยสามารถเรียกได้หลายชื่อ Surge Protection Device (SPD),Surge Suppression Equipment (SSE) หรือ Transient Votage Surge Suppressor (TVSS)

    ไฟตก (Voltage dip) 

    ไฟตก คือ การที่แรงดันไฟฟ้าลดต่ำลงจากปกติ ส่งผลให้ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้เพียงพอ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งสังเกตได้จากไฟฟ้ามีอาการติด ๆ ดับ ๆ โดยสาเหตุไฟตกเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น 

    • มีการใช้ไฟจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมอเตอร์หมุนรอบสูง 
    • สภาพอากาศ เช่น ฝนตกหนัก มีพายุ 
    • กระแสไฟฟ้าไหลลงดิน 
    • ตัวนำไฟฟ้าภายในโรงงานมีปัญหา เข่น ชำรุด หรือ ไฟช็อต 

    ทำให้แรงดันไฟฟ้าในสายส่งของการไฟฟ้าลดต่ำลง ส่งผลให้การทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หยุดชะงักในการทำงาน และอาจเกิดความเสียหายได้ และหากเกิดขึ้นบ่อย ๆ จะทำทำให้ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้าลดลงและเสื่อมเร็วขึ้น โดยเฉพาะ มอเตอร์ของอุปกรณ์ไฟฟ้า 

    วิธีการแก้ปัญหาระบบไฟฟ้าตก: ติดตั้งอุปกรณ์กันไฟตก Voltage Protection หรือ ติดตั้งเครื่องรักษาระดับแรงดัน Automatic Voltage Stabilizer เพื่อช่วยในการคอยปรับแรงดันไฟฟ้าให้มีความสม่ำเสมอ ป้องกันความเสียหายเครื่องไฟฟ้าภายในโรงงาน โดยข้อดีของการใช้เครื่องสเตบิไบเซอร์ คือหมดปัญหาเรื่องไฟตก และยังมีประสิทธิภาพสูง สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องมีคนคอยเฝ้าเปิด –  ปิด เครื่อง 

    ไฟดับ (power outage) 

    ไฟดับ คือ การที่กระแสไฟฟ้าหยุดไหล ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เพียงเฉพาะจุดหรืออาจเกิดเป็นวงกว้าง โดยสาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากไฟฟ้าลัดวงจรในสายส่งกระแสไฟการไฟฟ้าฯ หรือเกิดปัญหากับสายส่งการไฟฟ้าฯ…

    Read More
    Health Politics

    เมื่อรัฐบาลอาจต่อโควตานำเข้าขยะเศษพลาสติก ส่งผลต่อชีวิตคนไทยอย่างไร?

    post-image

    การนำเข้าขยะรีไซเคิลของรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตคนไทยอย่างไร และจะมีกลุ่มคนมากน้อยแค่ไหนที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง? 

    (more…)
    Read More