เมื่อพูดถึงวันคริสต์มาส สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึง มักจะเป็นลุงหน้าตาใจดี มีหนวดเคราสีขาว และสวมชุดสีแดง ชอบมาแจกของขวัญคริสต์มาสให้กับเด็ก ๆ และผู้คน ใช่แล้ว “ซานตาครอส” นั่นเอง และสัญลักษณ์วันคริสต์มาสอีกสิ่งที่จะขาดไม่ได้ คือ “ต้นคริสต์มาส” หรือ ต้นสนที่ถูกประดับด้วยของตกแต่งต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญ และเป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่า เทศกาลแห่งความสุขใกลเข้ามาแล้ว ดังนั้น เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้ Homedecorily จะมาชวนทุกคนแต่งบ้านด้วยสิ่งของวันคริสต์มาส พร้อมกับประวัติที่มาที่ไป ทำไมจึงนิยมนำมาใช้เป็นของตกแต่ง จนกลายเป็นสัญลักษณ์เทศกาลคริสต์มาส
สัญลักษณ์วันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง

1. ต้นคริสต์มาส (Christmas Tree)
ต้นคริสต์มาส เปรียบเสมือนเป็น ต้นไม้แห่งชีวิต หรือ ต้นไม้ในสวนสวรรค์ของพระเจ้า เนื่องจากเป็นต้นไม้มีสีเขียวขจีตลอดปี อีกทั้งในคำภีร์ไบเบิล (ยอห์น 15:5) ได้กล่าวไว้ว่า พระเยซู เปรียบเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต คอยเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ผู้คนท่ามกลางความมืด เป็นศูนย์รวมจิตใจ หล่อหลอมให้ผู้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้น ต้นคริสต์มาส เป็นสัญลักษณ์ของศูนย์รวมคนในครอบครัวช่วงวันคริสต์มาส เมื่อใกล้เข้าสู่เดือนธันวาคม ผู้คนจะเริ่มดีไซน์และตกแต่งต้นคริสต์มาส เพื่อต้อนรับและเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขพร้อมกับครอบครัวหรือคนที่รัก โดยแต่ละบ้านและสถานที่ต่าง ๆ จะมีการประดับด้วยของตกแต่งสัญลักษณ์วันคริสต์มาสที่มีความหมายแตกต่างกันไป
สำหรับที่มาของต้นคริสต์มาส เริ่มจากมิชชันนารีชาวอังกฤษ เซนต์บอนิเฟส ที่เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในเยอรมนี ได้ทำการช่วยเหลือเด็กถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย และกำลังจะถูกฆ่าใต้ต้นโอ๊ก หลังจากช่วยเหลือเด็กได้ และมีการโค่นต้นโอ๊กทิ้ง ปรากฏ ต้นสนเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ขึ้นอยู่ที่โค้นต้นโอ๊ก มิชชันนารีจึงเปรียบต้นสนเสมือนว่าเป็นต้นไม้แห่งชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ จนกระทั่ง เดือนธันวาคม ค.ศ.1540 มาร์ติน ลูเธอร์ ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ได้เห็นแสงจันทร์ส่องลอดผ่านต้นสน มีความสวยงามน่าอัศจรรย์ จึงได้ตัดต้นสนไปตั้งไว้ในบ้าน และตกแต่งด้วยแสงเทียน จนมีผู้คนนำไปทำตามทั่วเยอรมนี กระทั่งเริ่มแพร่หลายในประเทศอังกฤษและทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนเหตุผลที่ใช้ต้นสนทำเป็นต้นคริสต์มาส เพราะหาง่าย โดยเฉพาะในประเทศโซนยุโรป

2. พวงมาลัยคริสต์มาส (The Christmas Wreath)
พวงมาลัยคริสต์มาส หรือ The Christmas Wreath คือ สัญลักษณ์ของมงกุฏหนามบนศีรษะพระเยซู เมื่อครั้งถูกนำไปตรึงบนกางเขน ซึ่งชาวคริสต์เชื่อกันว่า มงกุฏของเยซูจะช่วยลดทอนพลังชั่วร้าย ปกป้องทุกคนในบ้านให้ปลอดภัยจากปีศาจร้ายได้ จึงนิยมนำ The Christmas Wreath แขวนไว้หน้าประตูบ้าน หน้าต่าง บนเตาผิง หรือตามช่องลมต่าง ๆ ที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในบ้านได้
บางคนนำต้นฮอลลี่มาทำเป็นพวงมาลัยคริสต์มาส เพราะมีความเชื่อว่าสีแดงของผลฮอลลี่ช่วยขับไล่แม่มด และปีศาจต่าง ๆ ได้ อีกทั้งในส่วนของใบที่มีสีเขียว คือ สัญลักษณ์ของชีวิตที่เป็นนิรันดร ความหวัง และความศรัทธาต่อพระเยซู แต่ปัจจุบันอาจมีการร้อย The Christmas Wreath ด้วยโบสีแดง ซึ่งแสดงถึงความสนุกสนาน รื่นเริง แต่คงไว้สีเขียวของใบไม้ ซึ่งแสดงถึงความศรัทธาต่อพระเยซู

3. ต้นฮอลลี่ (Holly Tree)
ต้นฮอลลี่ มีลักษณะเป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ มีผลสีแดงสด ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์หยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน แสดงถึงความรักของพระเยซูที่มีต่อมนุษย์ ในขณะที่ใบต้นฮอลลี่สีเขียวและมีหนาม สัญลักษณ์ของมงกุฏหนามที่ทหารชาวโรมันนำไปวางไว้บนศีรษะเยซูคริสต์ ทำให้ต้นฮอลลี่กลายเป็นตัวแทน คอยเตือนใจชาวคริสต์ และกลายมาเป็นสัญลักษณ์วันคริสต์มาส โดยมีการนำใบและผลฮอลลี่ไปร้อยเป็นพวงมาลัยคริสต์มาส หรือนำไปทำต้นคริสต์มาส เพราะสีแดงและสีเขียวของฮอลลี่ คือ สัญลักษณ์ของความรักและศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า

4. ระฆังวันคริสต์มาส (Bells)
เสียงระฆังของรุ่งเช้าวันคริสต์มาส เป็นการเฉลิมฉลองการกำเนิดพระเยซูเจ้า สืบเนื่องจากตำนานที่เล่าไว้ว่า ก่อนเที่ยงคืนในวันคริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve) ซึ่งเป็นคืนวันที่ 24 ธันวาคม ก่อนรุ่งเช้าวันที่ 25 ธันวาคม คือ วันประสูติพระเยซู มีเสียงระฆังดังก้องกังวานไปทั่ว นานนับเป็นชั่วโมง ซึ่งเชื่อกันว่า เสียงระฆังที่ดัง เพื่อขับไล่พลังความชั่วร้าย และต้อนรับบุตรของพระเจ้า ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมนุษย์ หรืออีกนัยหนึ่ง เสียงระฆัง คือ เสียงแห่งความสุขของชีวิตนั่นเอง

5. ลูกกวาดรูปไม้เท้า (Candy Cane)
มักจะมีการนำลูกกวาดรูปไม้เท้า หรือ Candy Cane ตกแต่งต้นคริสต์มาส เพื่อความสวยงาม และเป็นของขวัญให้กับเด็ก ๆ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยลูกกวาดไม้เท้า มีสีแดงและสีขาว ซึ่งมีความหมายของสีแดง เป็นตัวแทนพระโลหิตของพระเยซู ในขณะที่สีขาวเป็นตัวแทน ความบริสุทธิ์ นอกจากนี้ ลูกกวาดรูปไม้เท้า มีลักษณะเป็นตัว “J” ย่อมาจาก “Jesus” คือ พระนามของเยซูคริสต์ ลูกกวาดรูปไม้เท้า จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ในการระลึกถึงพระเยซูในอีกทางหนึ่ง และนิยมนำมาประดับต้นคริสต์มาสในปัจจุบัน

6. ถุงเท้า (Christmas Sock)
เรามักจะเห็นผู้คนส่วนใหญ่แขวนถุงเท้าเหนือเตาผิง โดยเฉพาะเด็ก ๆ จะตื่นเต้นกับการแขวนถุงเท้า หรือ Christmas sock เพื่อให้ซานตาคลอส (Santa Claus) นำของขวัญมาใส่ในถุงเท้า ซึ่งมีการถือปฏิบัติตาม ๆ กันมา จากเรื่องเล่าของนักบุญนิโคลัส (Saint Nicholas) ที่ต้องการช่วยเหลือครอบครัวหนึ่งซึ่งมีฐานะยากจน จึงได้นำทองไปหย่อนลงทางปล่องไฟ แต่ทองกลับกระดอนตกลงไปในถุงเท้าที่แขวนตากไว้เหนือเตาผิง เมื่อสมาชิกในครอบครัวตื่นขึ้นมาพบทองในถุงเท้า เรื่องราวก็ได้ถูกแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนจึงเริ่มนำถุุงเท้าแขวนไว้เหนือเตาผิง เผื่อจะได้รับของขวัญวันคริสต์มาสจากนักบุญนิโคลัสบ้าง และทำต่อ ๆ กันมา จนกลายเป็นวัฒนธรรมในวันคริสต์มาสเรื่อยมา ซึ่งถุงเท้าก็เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการให้และการรับ และปัจจุบันก็มีการนำถุงเท้ามาแขวนประดับต้นคริสต์มาสเพื่อความสวยงามด้วยเช่นกันอ

7. ปล่องไฟ
ปล่องไฟ ต่อยอดมาจากนักบุญนิโคลัสหย่อนทองลงทางปล่องไฟ เนื่องจากในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คนสมัยก่อนส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในใต้ดิน ทำให้ต้องมีการทำรูควันเพื่อเป็นทางเข้าออกจากบ้าน แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการอาศัย รูควันก็ถูกแทนที่ด้วยปล่องไฟ จึงเป็นที่มาการมอบของขวัญของซานตาคลอส โดยเข้าออกผ่านทางปล่องไฟนั่นเอง

ธีมสีวันคริสต์มาส Christmas Colors แต่ละสีมีความหมายอย่างไร
สีของวันคริสต์มาสที่เรามักจะเห็นกันอยู่ทุกปี จนกลายเป็นอีกสัญลักษณ์คริสต์มาส คือ สีแดง สีเขียว สีขาว และ สีทอง
1. สีแดง หมายถึง ไฟ ความอบอุ่น ความโอบอ้อมอารี และเป็นสีของเลือดพระเยซูคริสต์ อีกทั้งยังถือว่าเป็นสีของเดือนธันวาคม และซานตาครอสอีกด้วย โดยใช้สีแดงจากผลฮอลลี่
2. สีเขียว หมายถึง สัญลักษณ์ของธรรมชาติ สีของต้นไม้ ใบหญ้า เป็นสีแห่งความอ่อนเยาว์ และความหวัง ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งวันคริสต์มาสเปรียบเสมือนเป็นวันแห่งความหวังของชาวคริสต์
3. สีขาว หมายถึง แสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และ ความรุ่งเรือง โดยสีขาวคือสีของหิมะซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปกคลุมไปทั่วบริเวณ รวมไปถึงเคราของซาตาคลอส และเสื้อคลุมนางฟ้า ที่มีสีขาวด้วยเช่นกัน
4. สีทอง สัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และดวงดาว หมายถึง ความสว่างไสว และยังเป็นสีของเทียน และหลอดไฟ เครื่องประดับที่แวววาว